บทความนี้เป็นการแบ่งปันมุมมองและบอกเล่าประสบการณ์ เรื่องราวความประทับใจของเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ Discover Patani ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (PRC) ที่ได้นำเยาวชนจากทั่วประเทศและเยาวชนจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ความขัดแย้งและสันติภาพ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม
หนูขอพูดอีกเสียงเลยว่าคนมลายูปาตานีโดยพื้นฐานแล้วเป็นคนเฮฮา มุขตลกนี่ล้ำและโครตเฉียบ มันเป็นพื้นที่ของคน “สีเหลือง” สําหรับหนู แล้วเป็นสีที่แสดงถึงความสุข ความสนุกเฮฮา
หนูเขียนเรื่องนี้ในช่วงเวลาหลังจากความวุ่นวายมาสักพักกับการเดินทาง การเคลียร์งานก่อนสอบ และพาเพื่อนจาก ต่างภูมิภาคได้รู้จักดินแดนแห่งรอยยิ้มที่โรแมนติกร้าย สิ่งที่ท่านจะได้อ่านมันไม่ใช่งานเขียนเชิงวิชาการ แต่มันคือ เรื่องเล่าของเด็กคนหนึ่งที่เติบโตมา 20 ปี กับนิยามคําว่า สันติภาพเป็นเพียงความเพ้อฝันตลอดมา แต่ก็แอบหวังว่า สักวันเราจะสามารถทําอะไรได้บ้างเพื่อให้เกิดสันติภาพที่เป็นจริง
ย้อนเวลากลับไปเมื่อจําความได้ตอนหนูยังเป็นเด็กน้อย หนูเติบโตมาในอําเภอหนึ่งของจังหวัดยะลา หนูจําได้ว่า ชีวิตวัยเด็กของหนูค่อนข้างมีความสุข ตื่นเช้าได้ยินเสียงเฮฮาเพราะหน้าบ้านจะมีร้านขายข้าวยํา น้ําชา และอาหาร เช้า และทุกเช้าหลังโต้รุ่งพ่อแม่หนูกรีดยางเสร็จ จะไปนั่งร้านกินอาหารเช้ามีชาวบ้านแวะกินในร้านอย่างพร้อมหน้ากัน บางคนแวะซื้อกลับไปกินกับครอบครัวหรือลูกๆก่อนส่งไปโรงเรียน ยิ่งในช่วงหน้าฝน ไม่สามารถกรีดยางได้ ตื่น สายหน่อย แม่ทําข้าวเหนียวปลาแห้ง จิบชาร้อนๆกินกันทั้งครอบครัว ไปเรียนหนังสือเย็นกลับก็ไปเล่นกระโดดยางกับกลุ่มเพื่อนๆ ตกดึกก็ไปเรียนอัลกุรอาน แต่สิ่งเหล่านี้ก็ค่อยๆหายไปพร้อมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่
หนูจําบรรยากาศที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านรวมตัวกันนั่งดื่มน้ำชาหลังละหมาดช่วงเวลาสองทุ่มเป็นต้นไป หนูไม่รู้หรอกว่าผู้ใหญ่สมัยนั้นเขาคุยอะไรกัน แต่หนูจําได้ว่าเขาหัวเราะกันดังลั่นร้านทุกวัน ชาร้อนแก้วเดียวนั่งได้ทั้งคืน แต่บรรยากาศ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้คนเหล่านั้นก็ได้หายไปเมื่อเกิดเหตุการณ์กราดยิงร้านน้ําชา และถูกแทนที่ด้วยคนจากต่างแดนที่ใส่ชุดลายพรางถือปืนเดินทั่วเมืองที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความเคยชินใหม่ของคนในพื้นที่
แต่เราต้องย้ำว่าความเคยชินนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เหตุการณ์ได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากทั้งสองฝ่ายคู่ขัดแย้ง กฏหมายความมั่นคง กฎอัยการศึก พรก.ฉุกเฉิน ทุกอย่างถูกประกาศใช้ในพื้นที่โดยให้อํานาจเต็มที่กับรัฐและทหาร ด่านตรวจมากกว่าเซเว่นฯ มากกว่าสนามเด็กเล่น มากกว่าห้องสมุด บ้านของเราไม่ใช่บ้านของเราอีกต่อไป บ้านของเราสามารถถูกล้อม สามารถถูกค้นได้ตลอดโดยไม่ต้องขออํานาจศาลใดๆ เพราะที่นี่เราถูกปกครองด้วยกฎหมายที่เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ
เมื่อหนูอายุได้ 10 ขวบ จําความได้ว่าการค้นหมู่บ้านแบบไม่มีหมายเหตุบ่อยมาก จนเด็กคนนึงรู้สึกโมโหและเกลียดทหารมาก มีการมาเยี่ยมเยือนแบบมิได้อัญเชิญ มิได้บอกล่วงหน้าบ่อยมาก ช่วงหนูเรียนตาดีกาความในใจของเด็กน้อยรู้สึกหวาดกลัวแต่ต้องยิ้มรับมือให้ได้ ในโรงเรียนจะมีการซ้อมแผนหลี้ภัย ซึ่งมีช่วงหนึ่งเกิดเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในวันเดียว พลทหารโดนระเบิดเสียชีวิต 2 ราย ช่วงเช้าและบ่าย ช่วงเที่ยงครูที่โรงเรียนได้ปล่อยให้เด็กรีบกลับบ้าน หนูที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้านตอนนั้น รู้สึกกลัวแต่ก็กลัวเด็กและเพื่อนๆจะเกิดอันตรายก็ได้นําพาเด็กที่เดินกลับบ้านซ้อนจักรยานยนต์ไปส่งถึงบ้านจนครบ เป็นช่วงเวลาที่กลัวและต้องช่วยเหลือเอาตัวรอดทั้งตัวเองและเด็กๆ ในชุมชนให้ได้ในเวลาเดียวกัน
ช่วง 2-3 ปีที่มานี้ หลังความเคยชินกับเหตุการณ์ต่างๆก็ว่าได้ บรรยากาศเหล่านั้นกลับมาอีกครั้งกับเหล่าเพื่อนๆวัย รุ่นนักศึกษาหลังละหมาดช่วง 2 ทุ่มจะรวมตัวกัน นั่งคุย จิบชา ร้อนๆ ล้อมรอบด้วยเสียงพูดของโต๊ะข้างๆเสียงพูดกระซิบๆ ส่วนโต๊ะเรานั้นจะออกมาในรูปแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับคนรอบข้าง คนที่มาด้วยเป็นใคร บางครั้งก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บ้างครั้งก็พูดเรื่อยเปื่อย บางครั้งก็มาด้วยเสียงของความเศร้า บรรยากาศประมาณนี้ ส่วนใหญ่จะมีเพียงร้านในชุมชนเมือง ถ้าช่วงเวลานี้ตามชุมชนกําปงจะเป็นอีกอารมณ์คือเงียบเหงา
หนูเลยรู้สึกว่าพื้นที่นี้ไม่ใช่พื้นที่สีเหลืองบริสุทธ์ที่ผู้คนมีความสุขสนุกเฮฮาเหมือนในอดีตอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่ใช่พื้นที่สีแดงแจ๊ดที่มีแต่ความอันตราย มีลูกระเบิดและห่ากระสุนเท่านั้น มันกลายเป็นพื้นที่ “สีส้ม” ที่มีทั้ง ความสนุกเฮฮา ความน่ารักและใจดีของผู้คน ผสมไปกับความหวาดกลัว ความรู้สึกไม่ปลอดภัยและความอันตราย หนูอยากให้ทุกคนได้มาลองสัมผัสความรู้สึกนี้นะ ว่าพื้นที่นี้มันไม่ได้ อันตรายขนาดนั้นแต่มันก็ไม่ปลอดภัยซะทีเดียว โดยเฉพาะสําหรับคนนอกพื้นที่
เรามาช่วยกันทําให้พื้นที่ตรงนี้กลับไปเป็นพื้นที่สีเหลืองเหมือนเดิม ช่วยกันระบายสีเหลืองทับสีแดง ให้หมด เพราะลําพังคนในพื้นที่คงมีกําลังไม่มากพอ เราพยายามกันมามากแล้ว แต่เราเป็นคนส่วนน้อย เราจึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนนอกพื้นที่เข้ามาทําความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วช่วยกันมาระบายสีด้วยกัน เพราะพวกคุณเป็นคนส่วนมาก มีจํานวนมาก และเสียงของพวกคุณสําคัญสําหรับการกําหนดทิศทางชีวิตของพวกเราได้
แบ่งปันมุมมองโดย
ฮายาตี
1,993 ครั้ง