มุมมองใหม่ปลายด้ามขวาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ความกลัวที่ไม่เคยเข้าใจ

บทความนี้เป็นการแบ่งปันมุมมองและบอกเล่าประสบการณ์ รวมถึงเรื่องราวความประทับใจของเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ Discover Patani ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (PRC) ที่ได้นำเยาวชนจากทั่วประเทศและเยาวชนจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ความขัดแย้งและสันติภาพ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม

ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ของไทยผมเห็นในภาพข่าวมาตั้งแต่ผมเด็กๆ ผมรับรู้ความรุนแรงของพื้นที่นี้ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์โทรทัศน์ทุกช่องรายงานสถานการณ์ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยเรียนรู้ ผมไม่เคยเข้าใจ แต่ผมรู้ตัวอีกที คือผมได้ตัดสินคนที่นี้ไปแล้ว ด้วยความเป็นเด็กผมมีความคิดอยากเป็นตำรวจกับทหารเพราะเป็นอาชีพที่พิทักษ์ปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์จากโจรผู้ร้าย เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อผมที่ว่า ผมจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบ ผมทนไม่ได้ที่เห็นคนบริสุทธิ์ถูกฆ่า ตำรวจ ทหารถูกยิง ถูกลอบวางระเบิด ผมเป็นเด็กที่ชอบฟังข่าวมาตั้งแต่เด็ก ชอบฟังผู้ใหญ่คุยเรื่องการเมืองกัน มันคือข้อมูลที่เข้ามาในหัวผมอยู่ตลอด ข่าวการฆ่ารายวันในภาคใต้ การทำร้ายครูจูหลิง การจับตัว ประกันที่ตันหยงลิมอ ทำให้ผมมอง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นดินแดนที่มีแต่ความรุนแรง ความเกลียดชัง ผู้คนมุสลิมน่ากลัวมีแต่ก่อการร้าย ประกอบกับกระแสการต่อต้านการก่อการร้ายในโลกมีเพิ่มมากขึ้นหลัง เหตุการณ์ 11 กันยายน ปี พ.ศ.2544 ยิ่งทำให้ผมตัดสินคนที่นี้ไปแล้วว่าพวกเขาคือคนไม่ดีและไม่เคยคิดที่จะมาดินแดนปลายด้ามขวานแห่งนี้เพราะมันห่างไกลเหลือเกินจากการรับรู้ของผมในตอนนั้น

ผมเป็นชาวพุทธ คนที่บ้านผมเป็นชาวพุทธ ผมเคยเชื่อว่าชาวพุทธเป็นศาสนิกชนที่รักสงบ ไม่เคยเบียดเบียนใคร รวมถึงชาวไทยก็นิยามตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ ไทยนั้นรักสงบผมไม่เข้าใจว่า ทำไมมุสลิมถึงทำกับ ชาวพุทธแบบนั้นทั้งฆ่าพระ ฆ่าชาวพุทธ ตัดคอเผาอย่างโหดเหี้ยม ผมเชื่อมาตลอดว่าอิสลามต้องเป็นพวกนิยมความรุนแรง มุสลิมมันอยากแบ่งแยกดินแดนไปรวมกับมาเลเซีย ผมยอมไม่ได้ที่จะเห็นแผ่นดินไทยถูกแบ่งออกไปด้วย ส่วนตัวที่ผมชอบเรียนวิชาสังคมศึกษา โดยเฉพาะประวัติศาสตร์วิชาที่ผมชอบและอินเป็นพิเศษ มันทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นชาติ ผมเชื่อว่าแผ่นดินไทยเป็นมรดกที่บรรพบุรุษรักษาไว้ให้ถือเป็นการรับช่วงต่อจากบรรพบุรุษของไทย จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางเดียว

แนวคิดไทยจะต้องไม่เสียดินแดนเกิดขึ้นทั่วไปในหมู่คนไทยทั่วประเทศ หลังเหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อปี พ.ศ.2547 เห็นได้จากเพลงขวานไทยใจหนึ่งเดียว ซึ่งมีเนื้อหาปลุกจิตสำนึกให้คนไทยมีความรักสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จากความต้องการที่จะแสดงออกถึงความห่วงใยต่อสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ” ขวานที่ไม่มีด้าม นำไปใช้ ย่อมไร้พลัง “ หนึ่งในท่อนเพลงขวานไทยใจหนึ่งเดียวที่มีนัยถึงการไม่ยอมให้ด้ามขวานของไทยถูกแยกออกจากประเทศไทย คนไทยตื่นตัวกันมากถึงการที่จะไม่ยอมเสียดินแดน รวมถึงการพูดเรื่องการเสียดินแดนก็เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากในสังคมไทย รวมถึงตัวผมเองด้วย โดยเฉพาะความความขัดแย้งกรณีพิพาทเขาพระวิหารซึ่งเป็นตัวอย่างสำคัญถึงความอ่อนไหวในเรื่องดินแดนของคนไทย

การเดินทางเพื่อทำลายกำแพงอคติ
พอถึงจุดหนึ่งผมเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จากการย้อนกลับไปอ่านข่าวการล้อมปราบที่มัสยิดกรือเซะ เหตุการณ์ตากใบ การหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ผมเคยได้ยินเรื่องการซ้อมทรมานให้รับสารภาพ เจ้าหน้าที่ไปจับลูกชายเขา จับสามีเขา จับพ่อเขาที่เป็นผู้ต้องสงสัยไปสอบสวนแล้วเสียชีวิตทั้งที่เขาไม่ได้ทำผิด แล้วยังมีคนระดับผู้พิพากษาจังหวัดยะลายิงตัวตายเพื่อประท้วงความอยุติธรรม เพราะท่านอ้างว่ามีการแทรกแซงให้ตัดสินผู้ต้องหาให้มีความผิดทั้งที่เขาไม่ได้ผิด ผมเห็นเรื่องราวเหล่านี้ผมเจอเรื่องราวเหล่านี้ ผมจึงเจ็บปวด ผมถึงเริ่มเห็นอกเห็นใจพี่น้องมุสลิมในภาคใต้เพราะเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมเริ่มเข้าใจว่าความรุนแรงมันไม่ได้จากฝ่ายขบวนการอย่างเดียว ความรุนแรงมันมาจากทั้ง 2 ฝ่าย ที่สำคัญพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีการใช้กฎอัยการศึกหมายความว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงมีอำนาจเต็มที่ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่ามันไม่ได้มีแต่ขาวกับดำอย่างเดียว ไม่ใช่ฝ่ายฉันดีฝ่ายคุณเลวต่างฝ่ายต่างกระทำซึ่งกันและกัน

ผมเป็นคนที่แม่จะชอบตีกรอบให้ผมตั้งแต่เด็ก เข้าบ้านกี่โมง เลิกเรียนกลับตอนไหนแม่จะเป็นห่วงผมมาก ไปกับเพื่อนก็ต้องบอกแม่ ถ้าไม่บอกแม่จะชอบบ่นผม ชีวิตตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลายเป็นชีวิตที่ถูก ควบคุมโดยแม่ เมื่อผมมีโอกาสได้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ชีวิตผมก็เริ่มมีอิสระไม่ได้อยู่ในสายตาพ่อแม่ เริ่มเข้าร้านเหล้า ไปลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เห็นถึงรสชาติของเสรีภาพ ผมเริ่มท่องเที่ยวไปในจังหวัดต่างๆทั่ว ประเทศ อีสาน เหนือ กลาง ตะวันออก ตะวันตก ไปมาหมดแล้ว เหลือแต่ภาคใต้ที่ไม่เคยไป ตั้งใจว่าจะไปภูเก็ต แต่พอมานึกๆดูแล้วมาใต้ทั้งที ไปให้มันสุดเลยดีกว่า ใต้สุดแดนสยามนั้นคือ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ผมก็คิดแล้วคิดอีกไปดีไหมยะลา แต่ก่อนเคยคุยกับคนที่มาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าใครเขาก็บอกมาเที่ยวเถอะเขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไปได้หมดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราชอบอ่านข่าวภาคใต้ ฟังเสวนาเรื่องปัญหาที่นี่ ทำความเข้าใจปัญหาความขัดแย้ง เข้าใจคุณค่าศักดิ์สิทธิ์ของขบวนการเขา เราก็คิดนะเขาคงไม่ทำร้ายเราหรอก เราไม่ใช่คู่ขัดแย้ง เพราะการที่เขาจะโจมตีใครมันมีชีวิตเขาเป็นเดิมพันนะ เคยคุยกับน้องคนหนึ่งที่ปัตตานีเขาบอก พี่เคยเห็นข่าวทำร้ายนักท่องเที่ยวไหม

หลังจากนั้นผมก็คิดว่าเรามีข้อมูล 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พอสมควรแล้วผมก็เลยตัดสินใจเดินทางมา ผมเดินทางมาด้วยรถไฟชั้น 3 เพราะมันถูกที่สุดแล้วในการมาภาคใต้ถือว่าเป็นการเดินทางด้วยรถไฟสายที่ยาวที่สุดในประเทศ ผมเดินทางมากับเพื่อนอีกคน ชื่อมาสเป็นเพื่อนที่น่ารักของผมคนหนึ่งไปไหนไปกัน ผมยอมรับว่าการเดินทางครั้งนี้ผมกลัวมากแต่ก็เก็บความกลัวไว้ในใจ เพราะกลัวมาสจะรู้สึกตามผมไป ด้วย ก่อนมาผมบอกเพื่อนว่าเที่ยวได้แน่นอน ไม่ต้องกลัวเขาก็เชื่อใจผมถึงยอมมาด้วย เรานั่งรถไฟจากขอนแก่นไปกรุงเทพฯ แล้วนั่งรถไฟ จากกรุงเทพฯ-ยะลา ต่ออีกรอบเป็นการเดินทางที่เหนื่อยมากน้ำไม่ได้อาบมา 2 วัน แต่ก็สนุก เห็นวิวข้างทาง ทั้งภูเขา ทั้งทะเล คนในตู้โดยสารที่ผมนั่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม พูดภาษามลายู ส่วนผมกับเพื่อนเป็นลาวอีสาน 2 คน ผมสนทนากับเพื่อนเป็นภาษาลาวอีสานแล้วมีพี่คนหนึ่งไว้หนวดเคราแบบชายมุสลิมพูดแทรกบทสนทนาผมกับเพื่อนขึ้นมาว่า “สิพากันไปไส” ผมบอกพี่เขาไปว่าผมจะไปยะลา จะไปเที่ยว ผมตกใจมากเพราะตลอดทั้งตู้โดยสารแทบไม่เห็นใครพูดภาษาไทยเลย นึกว่าอยู่ต่างประเทศ แต่กลับมีคนพูดอีสานกับเราผมเลยถามพี่เขาไปว่า “อ้ายอยู่บ้านได่ครับ” คือเว่าลาวได้ พี่เขาก็บอกว่า เขาเป็นคนบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ผมก็เลยบอกเขาว่าผมอยู่เชียงยืน มหาสารคาม อยู่ใกล้ๆกันเลย คือพี่เขามาทำงานที่ระยองก่อนจะได้ภรรยา เป็นคนโคกโพธิ์ปัตตานี เลยจะพาลูกไปเยี่ยมยายที่โคกโพธิ์ ผมถามพี่เขาว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เที่ยวได้หมดไหม พี่เขาก็บอกว่าได้หมดไม่มีอะไรหรอก ผมก็อุ่นใจมากขึ้นความกลัวก็ลดน้อยลง ตลอดการเดินทางก็เจอมิตรภาพของผู้คนชาวมุสลิมแบ่งขนมให้กินพูดคุยกันตลอดการเดินทาง ลดบรรยากาศความเครียดของผมได้มากจากความกลัว รู้สึกไม่ปลอดภัยเพราะทั้งขบวนมีแต่ชาวมุสลิม

ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่นั่งรถไฟยาวขนาดนี้ เมื่อรถไฟเข้าสู่สถานีหาดใหญ่ก็เริ่มเห็นทหารถือปืนตรวจตามตู้รถไฟ เป็นสัญญาณว่าเรากำลังจะเข้าสู่เขตพื้นที่ความขัดแย้งแล้ว หลังจากนั้นรถไฟก็ได้มาถึง สถานีรถไฟยะลาเรียบร้อยแล้ว ความกลัวผมก็กลับมาอีกครั้งเมื่อเริ่มเห็นตัวเมืองยะลากับผู้คนที่แต่งตัวแบบชาวมุสลิม ผมบอกกับตัวเองตลอดว่าเที่ยวได้ปลอดภัยๆ เมื่อถึงสถานีก็ได้อาบน้ำที่สถานี ทานข้าวเช้าพูดคุยเห็นบรรยากาศผู้คน บ้านเมืองก็เหมือนมหาสารคามบ้านเรา ก่อนจะขึ้นรถแท็กซี่ตรงตลาดเสรีเพื่อไปอำเภอเบตง บนรถแท็กซี่ได้มีผู้โดยสาร 3 คน คือ มาสเพื่อนผม แล้วก็เพื่อนรวมทางอีกคนคือน้องหมัด น้องหมัดมาเที่ยวยะลาคนเดียว ก่อนที่จะชวนน้องไปเที่ยวด้วยกันหมัดเป็นชาวกระบี่ผมยังงงว่าทำไมน้องกล้ามาคนเดียว แต่เขาน่ารักถึงน้องจะเป็นมุสลิมแต่ก็สนิทกันเร็วมากคุยกันถูกคอ ส่วนลุงคนขับหน้าตาดูโหดตามแบบชาวใต้ก็กลัวแกนะ แต่พอได้คุยกับลุงแล้ว แกอัธยาศัยดีมากปล่อยมุกตลกตลอดทางและใจดีแนะนำราคาที่พักตรงไหนถูกก็พาไป ผมเริ่มรู้สึกผิดกับคนที่นี้มาก เพราะเคยมองเขาว่ามุสลิมโหดร้ายเป็นคนไม่ดี แต่พอมาแล้วชาวมุสลิมปฏิบัติกับผมดีมาก อคติในใจผมเริ่มลดลงทีละนิด แต่ผมตั้งข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือคนที่นี่เขาจะไม่พูดเรื่องความรุนแรงให้พวกผมฟังเลยเหมือนกับว่าที่นี่มันปกติทั้งที่มันไม่ปกติไปไหนก็มีแต่ป้อมทหาร
การเดินทางมายะลาครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นมากผมอยากไปสำรวจสถานที่ต่างๆเพื่อจะทำให้สิ่งที่ผมสงสัยและคาใจมาตลอด 10 กว่าปีมันหายไป ผมมาอยู่ที่ยะลา 3 วัน เป็น 3 วันที่ให้ประสบการณ์ที่สสำคัญกับชีวิตผมมาก

ยะลาวันที่ 1: วันแรกเมื่อผมนั่งรถไปตัวอำเภอเบตง ผมเวียนหัวมากจากทางที่มาโค้งเยอะพอสมควร แต่ไม่เท่ากับตอนที่ไปเชียงใหม่ ทางมาคือถนนสาย 410 ผ่านอำเภอกรงปินัง อำเภอบันนังสตา ข้ามแม่น้ำปัตตานี เข้าอำเภอธารโต แล้วเลียบเขื่อนบางลาง จากนั้นก็เข้าอำเภอเบตง เป็นเส้นทางที่มีแต่ด่านทหาร ถ้าไปเชียงใหม่ ไปที่ไหนก็เจอคาเฟ่แต่มาที่นี่มีแต่ด่านทหาร เมื่อถึงตัวอำเภอเมืองเบตง ผมได้อาบน้ำอีกรอบ เตรียมของและเช่าจักรยานยนต์ขับสำรวจทั่วเมืองเบตง เบตงเป็นเมืองที่สวยมีภูเขาล้อมรอบเป็นแอ่งกระทะ ที่เบตงปลอดภัยไม่ค่อยมีเหตุการณ์อะไร อาหารอร่อยโดยเฉพาะเฉาก๊วยเบตง อาหารที่นี่มีทั้งอาหารไทย มุสลิม อาหารจีน เป็นสังคมที่มีความหลากหลายมากทั้งวัฒนธรรมและอาหาร คนที่นี่เป็นมิตรรู้สึกได้ว่าไม่เหมือนในข่าวเลย คนจีน คนไทย พุทธ คนมุสลิม เขาก็ทำงานด้วยกัน อยู่ร่วมกันไม่มีปัญหาอะไร ถึงจะแตกต่างในเรื่องวัฒนธรรมก็ตาม ผมสำรวจรอบๆเมืองเบตงเป็นเมืองสตรีทอาร์ตไปไหนก็มีแต่ภาพวาดเต็มไปหมด แล้วก็ขับรถจักรยานยนต์ต่อไปยังน้ำพุร้อนเบตงและแวะซื้อของกิน คนที่นี่ชิลมากไม่มีความตื่นกลัวอะไรเลย เมื่อเห็นคนที่นี่ไม่กลัวผมเองก็ไม่กลัว วันแรกไม่มีอะไรเพราะเดินทางมาเหนื่อยเราก็นอนพักเพื่อวางแผนเที่ยวพรุ่งนี้

ยะลาวันที่ 2: วันที่ 2 เราตื่นตั้งแต่ตี 3 อาบน้ำแต่งตัวขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปดูทะเลหมอก ที่ตำบลอัยเยอร์เวงเป็นสกายวอล์คชมวิว ผมมาตั้งแต่เช้าหมอกลงเต็มไปหมดมองอะไรไม่ค่อยเห็นอันตรายมาก กลัวเกิดอุบัติเหตุ อีกอย่างหนึ่งพวกเราไม่ได้สวมใส่หมวกกันน็อคด้วยเพราะที่นี่เขาห้ามใส่หมวกกันน็อคเพราะเขากลัวว่าเราอาจจะไปก่อเหตุ เมื่อไปถึงต้องต่อรถหลายรอบมากกว่าจะถึงจุดชมวิว ทั้งขึ้นรถสองแถว ต่อด้วยนั่งวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่านี่คือรายได้ของชาวบ้านที่ได้จากนักท่องเที่ยว เมื่อได้ขึ้นไปชมสกายวอล์คคือสวยงามมาก คุ้มค่ามากในการมา ผมยอมรับว่าไม่เคยเห็นทะเลหมอกที่ไหนสวยเท่าที่ยะลา หลังจากนั้นก็รอชมพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งก็สวยแบบเหมือนอยู่บนสวรรค์เลย แต่ก็ชมได้เพียง 15 นาที เพราะมีคนต่อคิวขึ้นเยอะ เป็นช่วงเวลา 15 นาทีที่น่าประทับใจมาก หลังจากนั้นก็ทานอาหารเช้าก่อนจะขับรถไปตามถนนสาย 410 เที่ยวตามหมู่บ้านซาไก เล่นน้ำตกธารโต และไปเขื่อนบางลาง ขี่รถซื้อของกินตามถนนสาย 410 ขับเล่นตามหมู่บ้านต่าง จนถึงอำเภอกรงปินังก็ขับรถกลับ ธรรมชาติที่นี่สวยมาก สดชื่นมาก ไม่ร้อนเลย ผมคิดอยากให้ที่นี่สงบ อยากให้คนไทยได้ลองเปิดใจมาเที่ยว มาทานอาหาร อร่อยๆ ถ้าที่นี่สงบ ต่างฝ่ายตกลงกันได้ ที่นี่คนคงเยอะน่าดู เมื่อผมไปตามหมู่บ้านบางครั้งก็มีเรื่องให้ผมไม่สบายใจ เพราะตำรวจตระเวนชายแดนกับชาวบ้านจะชอบมองผมและเพื่อนเวลาขี่จักรยานยนต์ มีครั้งหนึ่งผมขี่ไปหลงในหมู่บ้าน ในตำบลเขื่อนบางลาง ผมรู้ว่าที่นี่เป็นอย่างไรจากในข่าวเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ผมยอมรับว่าผมกลัวเพื่อนผมก็กลัว ขี่รถไปทางไหนก็มีแต่ป่าจนเขามาในหมู่บ้านกลางป่า ชาวบ้านจะมองหน้ามองตลอดเลยโดยเฉพาะชาวบ้านที่เป็นผู้ชาย แต่ดีที่ผมมีน้องหมัดซึ่งพูดภาษามลายูได้เพราะเคยเรียนโรงเรียนปอเนาะ ผมก็จอดรถในหมู่บ้านเพื่อเติมน้ำมันและทานขนมกับน้ำ ผมเดินไปถามพี่คนหนึ่งว่าจะออกไปถนนใหญ่ทางไหนได้ครับ เขาก็ตอบว่าไปทางนี้ เราก็คุยกันปกติ แล้วเขาก็ถามว่ามาจากไหนผมก็ตอบว่ามาจากมหาสารคามครับ เขาทำหน้าตกใจมากว่าทำไมเรามาไกลจัง และถามว่ามาเที่ยวหรือ ผมก็ตอบใช่ครับ เขาบอกว่าไม่คิดว่าคนนอกจะกล้ามา เราก็หัวเราะ คนที่นี่เป็นมิตรมาก ถึงผมจะกลัวแต่พอได้คุยกันก็รู้สึกปลอดภัย อุ่นใจมากขึ้น และชาวบ้านเขาก็พูดให้เราสบายใจไม่เคยพูดถึงความรุนแรงในพื้นที่เลย

ต่างจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนมาก หากขับรถไปในหมู่บ้านเมื่อผ่านด่านทหารเขาจะถามว่ามาจากไหนหรือจะไปไหนผมก็ตอบว่ามาจากมหาสารคาม มาเที่ยว เขาก็บอกว่ามาทำไม ที่นี่ใช่ที่เที่ยวไหมมันอันตราย ที่นี่มีเหตุการณ์ทุกวันเพียงแค่ไม่ออกข่าว ซึ่งมันต่างกันมากกับชาวบ้านที่ผมพบ ชาวบ้านจะพูดให้เราหายกลัวสร้างความอุ่นใจให้เราแต่ เจ้าหน้าที่เสียเองที่สร้างความหวาดกลัวให้กับพวกเรา ทุกครั้งที่ได้คุยกับคนที่นี้เขาจะตกใจมากเวลาที่รู้ว่าเรามาจากมหาสารคาม เขาแทบไม่เชื่อเลยว่าเราตั้งใจมาเที่ยว

ยะลาวันที่ 3 : วันที่ 3 ผมตื่นแต่เช้าขี่จักรยานยนต์ออกไปเที่ยวอุโมงค์ปิยะมิตรเพื่อเยี่ยมชมฐานของกลุ่มโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา ได้ดูแนวทางการต่อสู้ของขบวนการคอมมิวนิสต์ในอดีต ผมไม่นึกเลยว่าที่นี่จะมีคอมมิวนิสต์ด้วยเพราะส่วนใหญ่ข่าวในหน้าสื่อจะมีแต่ขบวนการก่อความไม่สงบ
การมายะลาครั้งนี้มันเปิดโลกของการรับรู้ของผมมาก อคติที่ผมมีต่อชาวมุสลิมในภาคใต้มันหายไปหมด กำแพงอคติที่ผมเคยตั้งไว้ว่าคนที่นี้เป็นแบบนั้นแบบนี้มันได้พังทลายลงหมดแล้ว เหลือแต่ความเชื่อใจที่ผมมีให้กับคนที่นี่ ผมรู้สึกผิดที่เคยมองคนที่นี่ในแง่ที่ไม่ดีและยอมรับว่า ถ้าพูดถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมมองแค่ว่า มีการก่อการร้าย แบ่งแยกดินแดน ซึ่งการได้มา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งแรกนั้นทำให้ผมประทับใจมากและตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน

กิจกรรม DISCOVER PATANI
บ่ายวันหนึ่งหลังจากสอนหนังสือเสร็จ เพื่อนผมส่งลิงค์สมัครเข้าร่วมกิจกรรมให้ เพราะคิดว่าผมอาจจะสนใจ เมื่อผมเห็นลิงค์ก็ได้กรอกข้อมูลการสมัครทันทีโดยไม่ลังเล ซึ่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนผมได้ไปที่นี่มาแล้ว ความตั้งใจในการสมัครของผมคือ ผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจพี่น้องมุสลิมจากเหตุการณ์ความไม่สงบ รวมถึงการอยู่ในสภาวะความหวาดกลัวจากการคุกคามของเจ้าหน้าที่รัฐ ผมรู้สึกเจ็บปวดแทนพี่น้องมุสลิมภาคใต้ที่สังคมไทยมองเขาในมุมมองที่ไม่ดีและคิดว่าอาจเป็นเพราะเราไม่เคยเห็นน้ำตา เห็นความเจ็บปวดของพวกเขา เราเลยไม่เคยมองเขาเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน “โจรใต้ก็มีหัวใจ มุสลิมก็มีหัวใจ มาลายูก็มีหัวใจ” ผมตั้งใจว่าการเข้ารวมกิจกรรมครั้งนี้จะต้องทำความเข้าใจความขัดแย้ง เข้าใจมุมมองอัตลักษณ์ของพี่น้องมุสลิมให้มากที่สุด นี่เป็นโอกาสดีที่จะทำความเข้าใจพวกเขา

ผมนั่งเครื่องบินจากขอนแก่นไปลงที่สนามบินหาดใหญ่ แล้วรถตู้จากมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพมารับเพื่อไปยังจังหวัดปัตตานี ผมเดินทางมาวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2565 ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันคือวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ได้เกิดเหตุระเบิดหลายจุดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ผมกลับไม่รู้สึกกลัวเพราะเข้าใจว่าที่นี่คือพื้นที่ความขัดแย้ง ผมได้คุยกับเพื่อนเรื่องเหตุการณ์ในพื้นที่ว่าที่ไหนเคยเกิดเหตุการณ์บ้าง ไม่ว่าจะเป็นสนามบินหาดใหญ่หรือโรงแรมที่จะพักก็เคยเกิดเหตุคาร์บอมบ์มาแล้ว ผมเข้าใจว่าทั่วทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงบางส่วนของจังหวัดสงขลาก็เคยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งสิ้น หลังจากเดินทางมาถึงปัตตานีเราได้นั่งรถตู้ไปทานข้าวที่ตลาดหลังมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และได้เห็นว่าถึงจะมีเหตุการณ์หลายจุดเกิดขึ้นเมื่อวานแต่คนที่นี่ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันคือความปกติที่ไม่ปกติ ไม่มีใครที่อยากอยู่ในสังคมที่ไป ไหนก็มีแต่ปืน ไปไหนก็มีแต่ความรุนแรง ไปไหนก็มีแต่ด่านตรวจ

วันต่อมาเราตื่นเช้านั่งจับกลุ่มแลกเปลี่ยนทำความรู้จักกันระหว่างเพื่อนต่างที่ทั้งนอกและในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คนในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ส่วนคนนอกก็มาจากหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่จะค่อนข้างมีความรู้และความเข้าใจปัญหาในพื้นที่มาระดับหนึ่ง เหมือนจะเป็นเช้าที่หน้าเบื่อจากตารางการเสวนา แต่ผมกลับดีใจที่จะได้ข้อมูลจากนักวิชาการที่ทำงานภาคประชาสังคมในพื้นที่อย่าง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ซึ่งผมเคยอ่านบทความและฟังบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับภาคใต้ของท่านมาตลอด ข้อมูลของท่านแน่นมากแต่ให้เวลาท่านน้อยไป ผมได้เข้าใจประวัติศาสตร์ มาลายูปัตตานี ภูมิหลังความขัดแย้งว่าทุกอย่างมีที่มาที่ไป อีกอย่างคือการรวมศูนย์อำนาจของฝ่ายไทยทำให้เกิดแนวคิดชาตินิยมอีกแบบที่ว่าด้วยเรื่องดินแดนทำให้มุสลิมเกิดแนวคิดชาตินิยมมาลายูอีกแบบ ความขัดแย้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีมาหลายร้อยปีแล้ว เพียงแต่ความรุนแรงมาปะทุอีกครั้งหลังเหตุการณ์ปล้นปืน ปี พ.ศ.2547

ผมเริ่มเข้าใจเรื่องขบวนการเอกราชมากขึ้นจากการบรรยายของ อาจารย์ชินทาโร ฮาร่า ว่าขบวนการเรียกร้องเอกราชนั้นเกิดขึ้นทั่วโลกเป็นเรื่องปกติ ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาต่างก็มีขบวนการเอกราชกันทั้งนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กลุ่ม IRA ในอังกฤษ กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในศรีลังกา กลุ่มคาตาลันในประเทศสเปน

ซึ่งเป็นเรื่องปกติถ้าเราเข้าใจในเรื่องของรัฐชาติพรมแดน ประเทศเกิดขึ้นจากการขีดเส้นของคนที่เป็นผู้ปกครอง หมายความว่าชาติเกิดช้ากว่าคน คนเขาอยู่มาหลายชั่วอายุคนแต่รัฐชาติเอาเส้นมาแบ่งว่าจะต้องเป็นคนไทย คนมาเลเซีย คนจีน คนอังกฤษ ทำให้แต่ละประเทศเกิดขบวนการเอกราชขึ้น เพราะเขาไม่มีสำนึกของความเป็นชาติแบบที่รัฐชาติสร้าง

การสร้างชาตินั้นไม่ได้สร้างชุมชนทางกายภาพเท่านั้น ผู้ปกครองจะต้องสร้างชุมชนในจิตนาการด้วย ผู้ปกครองจะสร้างชุมชนในจิตนาการว่าคุณคือคนไทยและให้เชื่อว่าเราไม่ใช่ใครอื่นเรานั้นคือชาวไทยมันคือกระบวนการกลืนชาติรูปแบบหนึ่งที่ใช้กันทั่วโลก

แต่ในความเป็นสังคมมาลายูปาตานีนั้นเขาไม่คิดแบบนั้นเขาคือคนมาลายูมุสลิม ทำให้สังคมไทยมองเรื่องการแบ่งแยกดินแดนเป็นเรื่องผิดร้ายแรง ใครคิดแบ่งแยกคนนั้นสมควรตายเป็นกบฏ โดยมองข้ามความเป็นคนของพวกเขา

การพูดเรื่องดินแดนเป็นเรื่องอ่อนไหวมากในสังคมไม่ต่างจากการพูดถึงเรื่องสถาบันกษัตริย์เลยทีเดียว
ที่ได้เล่ามานั้นผมไม่ได้สนับสนุนเอกราชของปาตานีแต่ผมอยากให้สังคมไทยเข้าใจในเรื่องของขบวนการเอกราชใหม่ ไม่ใช่แบ่งแยกดินแดนเป็นคนเลวทุกคน ทุกคนมีสิทธิที่จะพูดถึงความต้องการของเขาโดยไม่ ถูกกฎหมายปิดปาก โดยไม่ถูกสังคมตีตราว่าเป็นกบฏ ผมคิดว่าถ้าสังคมเราเข้าใจเรื่องขบวนการเอกราชและเปิดกว้าง ให้พื้นที่พวกเขาได้พูดคุยถึงความต้องการของเขาผมคิดว่า เหตุการณ์ความรุนแรง บรรยากาศความขัดแย้งต้องลดลงอย่างแน่นอน

วันที่ 3 ของการเข้าร่วมกิจกรรม เป็นวันที่เราจะต้องลงพื้นที่ในการสำรวจทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับคณะ เราเดินทางไปยังมัสยิดกรือเซะเป็นสถานที่แรก ความคิดในหัวผมคือนี่หรือมัสยิดที่เกิดเหตุการณ์การล้อมปราบนักรบมุสลิมที่มีเพียงกริชกับมีด มัสยิดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม ผมคิดว่าการที่เขามาหลบที่นี่ ในช่วงที่ถูกทหารล้อมปราบ เขาคงคิดว่าสถานที่นี้จะปกป้องชีวิตของพวกเขาได้ ผมอดคิดไม่ได้จริงๆว่าในช่วงการล้อมปราบคนเสื้อแดงเมื่อปี พ.ศ. 2553 ก็มีคนเสื้อแดงเข้าไปหลบที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธเช่นกัน ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้มีจุดจบเดียวกันคือเจ้าหน้าที่ผู้สังหารไม่มีความเมตตากับพวกเขา ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากทั้ง 2 เหตุการณ์จำนวนมาก

เมื่อมาถึงมัสยิดกรือเซะผมได้ฟังบรรยายเรื่องประวัติศาสตร์จากไกด์ท้องถิ่น และจากนั้นเราก็ได้ไปที่สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งเป็นสุสานที่อยู่ในน้ำ ผมฟังไกด์เล่าถึงความเป็นมาของสุสานก็ได้เข้าใจว่าคนจีนก็อยู่ในส่วนร่วมกับประวัติศาสตร์ปัตตานีด้วยเช่นกัน จากนั้นเราได้ไปที่เมืองโบราณยะรังซึ่งเป็นเมืองโบราณที่มีคูน้ำ คันดินล้อมรอบ สันนิษฐานว่าบริเวณเมืองโบราณบ้านวัดเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธมหายานในสมัยพุทธศตวรรษที่ 14-16 และต่อมาเราเดินทางต่อไปยังมัสยิด 300 ปี เป็นมัสยิดเก่าชื่อตะโละมาเนาะซึ่งมีความสวยมาก ผมไม่มีความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมแต่ผมเห็นแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ที่บาหลี อินโดนีเซีย หลังจากนั้นผมและคณะได้เดินทางต่อไปที่อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์อัลกุรอานซึ่งมีอัลกุรอานอายุยาวนาน บางเล่มก็มีอายุราว 1,000 ปี ผมสนใจที่นี่มากเพราะมีของเก่าๆที่ผมสนใจเยอะมาก แต่ผมแปลกใจตรงที่มีคัมภีร์พระไตรปิฎกในพิพิธภัณฑ์อัลกุรอาน ทำให้เห็นว่ามุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เขาไม่ได้รังเกียจพุทธศาสนาของเราเลย สิ่งของหรือวัตถุโบราณที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเขารักษาไว้หมด อีกสถานที่หนึ่งคือวัดคูหาภิมุข (วัดหน้าถ้ำ) เป็นวันในถ้ำที่อยู่ในจังหวัดยะลาสร้างมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัย ช่วงที่พุทธศานารุ่งเรือง ในดินแดนปลายด้ามขวานแห่งนี้จะเห็นได้ว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าค้นหามาก ขอเพียงเราก้าวข้ามความกลัวภายในใจเราจะได้สัมผัสความงดงามและน่าสนใจที่หลายคนอาจเข้าไม่ถึง

วันที่ 4 ถือเป็นวันสุดท้ายของการมา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมได้เดินทางไปยัง Patani Artspace ซึ่งเป็นสถานที่ที่ถ่ายทอดความจริงของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่านงานศิลปะ ทั้งเรื่องความรุนแรงความ อยุติธรรมในพื้นที่ ผมได้ฟังความเป็นมาและความตั้งใจของผู้สร้างสถานที่แห่งนี้ และได้ร่วมแลกเปลี่ยนพูดคุยกับตัวแทนภาคประชาสังคมที่ทำงานในพื้นที่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ผมมองว่าปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นปัญหาของคนไทยทุกคน เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องทำความเข้าใจตระหนักถึงปัญหาที่นี่ และหวังว่าทุกฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้ ไม่มีใครต้องมาตายจากความขัดแย้งนี้ เราในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังรอวันที่จะมีการหันหน้าเข้าหากันทั้งชาวไทยพุทธ ชาวมาลายูมุสลิมเพื่อให้อภัยกัน เยียวยาความรู้สึกซึ่งกันและกัน เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

สำหรับกิจกรรม DISCOVER PATANI เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ เปิดโอกาสให้คนนอกพื้นที่ได้มาเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ของชาวมุสลิมและได้เข้าใจปัญหาของคนที่นี่ ผมต้อง ขอบคุณผู้จัดเป็นอย่างยิ่งที่ดูแลผมกับคณะเป็นอย่างดี ได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอาหารและที่พัก รวมถึงการเอาใจใส่ทุกเรื่องในกิจกรรมครั้งนี้

แบ่งปันมุมมองโดย
สหัสวรรษ ใหม่คามิ

 1,039 ครั้ง

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ