บทความนี้เป็นการแบ่งปันมุมมองและบอกเล่าประสบการณ์ รวมถึงเรื่องราวความประทับใจของเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ Discover Patani ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (PRC) ที่ได้นำเยาวชนจากทั่วประเทศและเยาวชนจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ความขัดแย้งและสันติภาพ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม
การไปในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้สร้างคำถามมากมายให้กับผู้คนรอบตัวเราเป็นอย่างมาก “เราไปทำอะไร” “ทำไมเราถึงอยากไป ที่นี่เกิดเหตุลอบวางระเบิดเยอะมากเลยนะ” พร้อมทิ้งท้ายว่าให้เราระวังตัวด้วย ก่อนวันเดินทางเพียง 1 วัน ก็มีเหตุการณ์มาท้าทายจิตใจเรา คือ เหตุลอบวางระเบิด 19 จุด ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนใจแต่อย่างใด
ย้อนเวลากลับไปตอนได้รับอีเมลตอบรับคัดเลือกการเข้าค่าย Discover Patani ของ PRC เราดีใจมาก นึกว่าปี 2022 จะจบลงแบบไม่มีอะไรน่าจดจำเสียแล้ว แต่สิ่งดีดีก็ได้เกิดขึ้น เพราะนี่คือการมาภาคใต้ครั้งแรกและได้ลงมาใต้สุดของประเทศไทย ที่ที่คนคิดไม่ถึง ที่ที่คนคิดว่ามีอะไรถึงได้กล้าลงไป ทำให้เราอยากมาสัมผัสที่นี่เพื่อ กลับไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อน ๆ ที่ส่งกำลังใจจากทางบ้าน
ยินดีต้อนรับสู่การเข้าค่ายแบบเต็มตัว สิ่งแรกที่รู้สึกและสังเกตได้หลังจากนั่งรถเข้าปัตตานี คือ ป้ายประกาศ ผู้ต้องหาตามหมายจับเหตุระเบิดภาคใต้ พร้อมกับด่านตรวจที่มีเยอะผิดปกติ ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ หรือคำว่าพื้นที่แห่งความรุนแรงจะไม่ได้มาเล่น ๆ แต่อย่าพึ่งด่วนตัดสินไป เรามาที่นี่เพื่อการรับฟังเพราะความรู้ที่ได้จากสื่อต่าง ๆ นั้น ไม่อาจรู้ได้ว่ามีความเท็จจริงมากน้อยเพียงใด หลังจาก การฟังบรรยายจากอาจารย์หลายท่าน ทำให้เราตระหนักถึงการมีอยู่ของประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก โดยต้องเป็นประวัติศาสตร์ที่ฉายภาพหลากหลายมุมมอง และไม่มุ่งเน้นเรื่องชาตินิยมเป็นหลักแต่อย่างใด
ปาตานีเดิมเป็นภูมิภาคที่มีอำนาจในการปกครองตนเอง ก่อนที่สยามจะเข้ามายึดครองในปี พ.ศ. 2545 ผ่านการทำสนธิสัญญาแองโกล-สยาม1อันเดอร์ส แองวัลล์ และนอร์เบิร์ต โรเพอร์ส, ทำความเข้าใจมิติความขัดแย้งและสันติภาพจังหวัดชายแดนใต้/ปาตานี, (ม.ป.ท.): โรงพิมพ์ภาพพิมพ์, 2563, 18. ประชากรในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรวมศูนย์ทางอำนาจ ทำให้เกิดการกลืนกินทางวัฒนธรรม รวมถึงอัตลักษณ์ในความเป็นมลายูที่ถูกกดทับจากรัฐไทย ภายใต้ความเป็นไทยและความเป็นพุทธที่รัฐบาลยัดเยียดให้กับคนเหล่านี้จนนำไปสู่การเลือกปฏิบัติแก่ชาวมุสลิมมลายูในพื้นที่อาทิ การห้ามไม่ให้โรงเรียนสอนเป็นภาษามลายู ต้องมีการเรียนการสอนเป็นภาษาไทยเท่านั้น สภาวะที่โรยราเช่นนี้เหมือนรอวัน ถูกทำให้สูญสิ้นในความเป็นมลายู จริงอยู่ที่ว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออกเสมอไป แต่เมื่อวันใดวันหนึ่งการแสดงความคิดเห็นถูกปิดกั้น มีการลดทอนสิทธิและเสรีภาพเกิดขึ้นภายใต้กฎหมายที่นำมาเลือกใช้กับพื้นที่เหล่านี้ โดยเฉพาะการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ข้อคำถามมากมายว่า “คนเหล่านี้อยากแยกตัวออกจากประเทศไทยจริงหรือ” แม้กระทั่งการตั้งคำถามถึง ตัวตนของพวกเขาว่า “พวกเขาคือใคร” คำถามเหล่านี้ล้วนถูกผลิตซ้ำโดยรัฐที่ใช้ทฤษฎีสมคบคิดเพื่อให้เกิด ความเชื่อในกลุ่มคนหมู่มากภายใต้ภาพที่รัฐไทยได้สร้างขึ้นให้เป็นพื้นที่แห่งความรุนแรง พร้อมกับความเคลือบแคลงใจของคนภายนอกว่าคนในพื้นที่นี้เป็นคนหัวรุนแรงหรือไม่และมีเป้าประสงค์ไปเพื่ออะไร ข้อสันนิษฐานมีมากมาย และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ แต่ใครเล่าจะรู้เท่าผู้กุมอำนาจที่มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ของตนเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่สนผู้ใด ในขณะเดียวกัน ทำไมเราไม่ลองตั้งคำถามว่าสาเหตุใดที่ทำให้การเป็นมลายูถึงไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขเหมือนคนทั่วไปได้บ้างละ? ความครุกรุ่นระหว่างรัฐกับผู้ต่อต้านอำนาจรัฐได้บังเกิด โดยหารู้ไม่ว่ารัฐไทยนั้นได้พยายามนำความเป็นไทย ถ่ายทอดผ่านด้านศาสนา วัฒนธรรม ให้แก่คนในพื้นที่นี้โดยไม่เคารพความเป็นมลายูที่ถือเป็นประชากรหมู่มากใน พื้นที่แห่งนี้แม้แต่นิด
จากการพูดคุยกับคนในพื้นที่ทำให้เราเห็นว่า
จุดมุ่งหมายของคนในพื้นที่ล้วนไม่ต่างกัน
แต่หนทางในการนำไปสู่สันติภาพนั้นล้วนมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
กล่าวคือ ถึงแม้คนในพื้นที่จะมีอุดมการณ์หรือแนวคิดในการดำเนินการเพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ต่างกันไปบ้าง แต่เราเชื่อว่าสิ่งที่เขามีร่วมกันคือ การต่อสู้ (Jihad) เพื่อสันติสุข เพื่อสิทธิและเสรีภาพให้แก่คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งก็คือ ‘ประชาธิปไตย’ เราประทับใจกับคำพูดของพี่ในค่ายคนหนึ่งมาก เขาบอกว่าให้คนกรุงเทพฯ ตั้งใจเรียกร้องและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเข้าไว้ เพราะคนที่อยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะได้ผลประโยชน์จากตรงนี้เหมือนกัน ช่างเป็นประโยคที่เข้าใจได้ง่ายและตรงประเด็น อย่างไรก็ดีทุกสิ่งอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น หากเรามัวแต่นิ่งเฉยวันหนึ่งการเมืองก็จะวิ่งมาหาเราอยู่ดี
พักเรื่องเครียดมาดูเรื่องกินกันบ้าง วันแรกได้มีโอกาสไปเดินตลาดที่มีของกินละลานตา แต่จะให้ดีเราให้คนในพื้นที่เป็นไกด์ให้เราดีกว่า คนโชคดีเหล่านั้น คือ ซาฟีย์ น้องฮายาตี และน้องริล ซาฟีย์บอกว่าให้เราลองทานกรือโป๊ะอร่อยมาก เลยทำให้นึกถึงกรุงเทพฯ ซึ่งก็มีข้าวเกรียบที่ทำมาจากกรือโป๊ะเหมือนกัน แต่เรากับเพื่อนชอบเรียกว่าข้าวเกรียบปลา ตอนนี้เลยสอนเพื่อน ๆ เรียกเป็นกรือโป๊ะแทนแล้ว เมื่อทานของเรียกน้ำย่อยจบไป ถึงคราว main course สักทีเลยไปลองทานก๋วยเตี๋ยวเบญจรงค์ ความรู้สึกแรกที่เข้าไปในร้าน คือ หิวน้ำเพราะเดินมาไกลมาก ไม่ใช่ละ! มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก และที่สำคัญรับออเดอร์เป็นภาษามลายูด้วย (จริง ๆ คนรับออเดอร์พูดภาษาไทยได้ แต่เขาถนัดภาษามลายูมากกว่า เพราะเขาเป็นคนมลายูนั่นเอง) ส่วนเรานั้นจะยอมได้หรอ เราก็อยากมีส่วนร่วมในบทสนทนานี้เหมือนกัน เลยถามฟีย์ไปว่า ก๋วยเตี๋ยวภาษามลายูเรียกว่าอะไร ฟีย์บอก ‘มิง’ พร้อมออกเสียงตาม แล้วถ้ามากินก๋วยเตี๋ยวละ ฟีย์บอก ‘มาแกมิง’ แค่สองคำก็ทำให้ใจฟูได้ ไม่อดอยากแล้ว ระหว่างทานก๋วยเตี๋ยวอยู่นั้น เราก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า เหตุการณ์ระเบิดที่เราได้กล่าวไปข้างต้น คนในพื้นที่รู้สึกกลัวไหม เพราะทุกคนดูใช้ชีวิตปกติมาก สาว ๆ ตอบกลับมาว่า “ไม่ได้กลัวอะไรนะ ชินมากกว่า” แต่ในใจเราก็แอบเถียงขึ้นมาว่าคนเราจะชินได้จริง ๆ ใช่ไหม ชีวิตที่ต้องตื่นมารับฟังข่าวระเบิดในสถานที่ที่เราต้องไปในทุกวัน ไหนจะรถทหารที่วิ่งผ่านไปมา คงอึดอัดน่าดูในภาวะที่ถูกบังคับให้ต้องเคยชินกับสิ่งเหล่านี้ตอนกลับเข้าโรงแรมเราวิ่งไปซื้อชาก่อนเลย เพราะศึกษาข้อมูลมาแล้วว่า มาที่นี่อะไรที่เราไม่ควรพลาดบ้าง ชาที่นี่อร่อยมาก จิ้มสิบอันอร่อยสิบอัน กินจนลืมเวลานอนไปเลย แล้วไม่ได้มีดีแค่ชา มีโรตี รวมไปถึงของคาวอย่างข้าวยำปักษ์ใต้ก็อร่อยมากเช่นกัน
สิ่งที่คนทานหวานน้อยแบบเราอาจจะต้องตกใจเล็กน้อย คือ คนที่นี่ทานหวานมาก น้ำหวานและขนมหวานนั้นล้วนหวานตัดขา แต่เพราะชาเขาอร่อย การกินคู่กันจึงถือเป็นการผสมผสานที่ลงตัวที่สุด เอกลักษณ์ของพ่อค้าแม่ค้าที่นี่เวลาสั่งอาหารจะไม่เก็บเงินก่อน จะรอให้เราทานอาหารเสร็จแล้วค่อยไปคิดเงิน คนขายไว้ใจในลูกค้ามาก ๆ และเราก็ ต้องรับผิดชอบตัวเองด้วยการไม่ลืมจ่ายเงินเช่นกัน เดินเข้ามาข้างในโรงแรมก็มีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยให้ได้เรียนรู้ เราเห็นเรือมือเราะมัส (เรือนกยูงทอง) ตั้งสง่าอยู่บริเวณล็อบบี้ประจวบกับพนักงานบริการโรงแรมได้แนะนำ ให้เราตื่นเช้ามาดูนกนางนวล บริเวณด้านหน้าโรงแรมตอนหกโมงเช้า ด้วยภูมิศาสตร์ที่ติดกับทะเลและมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ทำให้นกนางนวลเหล่านี้ได้อพยพเข้ามาหาอาหาร อีกทั้งคนมุสลิมในภาคใต้มีความชำนาญในการใช้เรือจนประดิษฐ์ผลงานจิตรกรรมที่น่าสนใจอย่างเรือนกยูงทอง งานประดิษฐ์ที่สื่อถึงวัฒนธรรม และความเป็นอยู่ภาคใต้ไว้ใจคนที่นี่เลย ผลิตผลงานออกมาได้มีความหมายและงดงามมาก
ตกดึกมีหรือจะอยู่ในห้องพัก ออกไปนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กับเพื่อนดีกว่า สาวฟีย์พาไปดื่มน้ำชา และนั่งแลกเปลี่ยนความคิดกันจนไม่อยากกลับห้อง แต่การไปซิ่งในยามกลางคืนก็ยังมีสิ่งให้น่าฉงน คือ การใส่หมวกกันน็อคมีสิทธิ์ ที่จะโดนดักตรวจมากกว่าคนที่ไม่ใส่หมวก มันช่างย้อนแย้งกับกฎหมายจราจรในเมืองกรุงยิ่งนัก…
ปิดท้ายด้วยงานศิลปะที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากคนในพื้นที่ทำให้เราสนใจถึงศิลปะแห่งการต่อต้าน ผนังที่เต็มไปด้วยรูปวาดเป็นพันรูปในสีแห่งโทนเร่าร้อนและสีแห่งความหม่นหมอง ในขณะนั้นเองสายตาเราก็ไปสะดุดกับเก้าอี้ตัวหนึ่ง ในหัวเริ่มประมวลว่าคนวาดภาพนี้ต้องการจะสื่ออะไร ในมุมหนึ่งเรามองว่าคือการยืดหยัดในจุดยืน แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มองว่าเป็นการบีบบังคับและทรมาน ได้แต่นั่งถามตัวเองในใจถึงความหมายที่แท้จริงของภาพนี้เลยลองไปถามพี่ที่ดูแล Gallery แห่งนี้ เขาบอกว่าคนที่นี่ชอบนั่งเก้าอี้เฉย ๆ … หรือเราคิดลึกไปหรือเปล่านะ? ไม่หรอก เพราะภาพวาดไม่ได้ระบุว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วทำไมเราต้องไประบุสิ่งนั้นให้มีความหมายที่ตายตัวด้วย เก้าอี้หนึ่งตัว หนึ่งล้านความหมาย สุดแล้วแต่คนจะตีความ
การเดินทางใน 4 วันเหมือน 4 วินาที
ค่ายนี้นอกจากจะได้พักใจจากความวุ่นวายในเมืองกรุงแล้ว ยังสอนให้เราได้รู้จักการเคารพสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น ค่ายนี้จึงเปรียบเสมือนพื้นที่แห่ง ‘ความหลากหลาย’ และ ‘ความปลอดภัย’ ในการรับฟังและเล่าสู่กันฟังจากคนทั่วทุกทิศ ความผูกพันได้ก่อตัวขึ้นเป็นความรู้สึกสีชมพู ความรู้สึกที่ปราศจากการปรุงแต่งของผู้คนที่นี่ ความเป็นมิตรและมิตรภาพที่ได้รับนั้นมันเกินกว่าเราจะถ่ายทอดผ่านตัวอักษรเหล่านี้ได้
ขอบคุณกิจกรรมนี้ที่ถูกจัดขึ้นมาเป็นอย่างดี ทำให้เรารู้ว่ายังมีคนอีกมากที่พร้อมจะผลักดันประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย เพราะไม่เพียงแค่ได้ผลประโยชน์จากการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพให้กับคนเพียงกลุ่มเดียว แต่เรากำลังเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพให้แก่ประชาชนทุกคนที่ถูกกดทับให้ได้รับความยุติธรรมในแบบที่มนุษย์คนนึงควรจะได้รับและควรจะเป็น
ยินดีที่ได้รู้จักคนที่ไม่รู้จัก สู่มิตรภาพที่ดีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของข้าพเจ้าที่ได้รับจากที่นี่ได้อย่างสมบูรณ์
แบ่งปันมุมมองโดย
บุณฑริก จริโมภาส
977 ครั้ง