บทความนี้เป็นการแบ่งปันมุมมองและบอกเล่าประสบการณ์ รวมถึงเรื่องราวความประทับใจของเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ Discover Patani ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (PRC) ที่ได้นำเยาวชนจากทั่วประเทศและเยาวชนจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ความขัดแย้งและสันติภาพ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม
“ฟีย์ไม่เคยคิดว่าจะสามารถพูดบรรยาย นำเพื่อนเที่ยวบ้านเกิดตนเองได้ เพื่อนชมว่าฟีย์เป็นไกด์ในการนำเที่ยวได้ดี ลุยไปได้ทุกที่ สิ่งที่ยังคงคิดถึงคือ บรรยากาศร้านน้ำชาทุกๆ คืนที่เราไปร้านน้ำชาที่เต็มไปด้วยวัยรุ่น เพื่อนมาจากต่างพื้นที่ก็ บอกว่าไม่คิดว่าร้านน้ำชาที่นี่จะมีการเปิดเพลงดัง คนจะเยอะทุกเวลาแบบนี้”
สิ่งที่ยังคงรู้สึกประทับใจมากก็คือพลังงานดีๆ ที่ได้รับในการเข้าร่วมกิจกรรมทั้งเพื่อนทั้งพี่ๆ เป็นกิจกรรมที่ใช้ เวลาสั้นๆ แต่สิ่งที่ได้รับมันเกินคาดอย่างมาก เริ่มจากการที่เรียนเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของความขัดแย้งปาตานีเป็นการเรียนประวัติศาสตร์ ที่ต่างจากการเรียนในห้องเรียนช่วงมหาวิทยาลัย เพราะเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเป็นพระเอก เป็น ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีอคติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจารย์สอนตามความเป็นจริงที่เราสามารถวิเคราะห์ได้ หลังจากนั้น ได้เรียนเรื่อง PEACE PROCESS หรือกระบวนการสันติภาพ ตอนที่ดูกำหนดการแรกๆ ยอมรับเลย ว่าตื่นเต้นมากที่จะได้เรียนเรื่องนี้ เพราะฟีย์ได้เข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับการสร้างสันติภาพบ่อย แต่ไม่รู้ว่าการที่จะเริ่มพูดคุยเรื่องสันติภาพต้องเริ่มจากตรงไหน กล่าวคือ จากการเรียนทำให้รู้ว่าการที่จะสร้างสันติภาพ รัฐควรเปิดใจและรับฟังความต้องการของคนในพื้นที่ ไม่ใช่แค่การที่รัฐออกโครงการเรื่อยๆในพื้นที่เพื่อสร้างสันติสุข เพราะสันติสุขที่รัฐใช้คือการอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐ สันติภาพจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ปาตานีถ้ารัฐยังคงปิดกั้นความต้องการของคนในพื้นที่
ช่วงท้ายของวันได้ทำกิจกรรมทักษะวัฒนธรรมการเลือกจุดยืน เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ความรู้สึกแรกในใจคิดว่าถ้าเราเลือกจุดยืนแตกต่างจากคนส่วนใหญ่คนจะมองเราต่างไหม จะมองเราเป็นอื่นหรือเปล่า แต่เรา เลือกที่จะใช้การอธิบายบนหลักการที่เราสามารถอธิบายได้ในฐานะคนอิสลามคนหนึ่ง ท้ายที่สุด เพื่อนต่างศาสนาก็มาเปิดใจกับเราว่า ตอนแรกเห็นเราเลือกจุดยืนที่ต่างจากเขาก็มีการแอบคิดว่าเราทัศนคติลบแต่พอฟัง การอธิบายของเรา เพื่อนก็เข้าใจในความเป็นเรา
ส่วนกิจกรรมศึกษาประวัติศาสตร์ปาตานีโดยลงพื้นที่นั้นฟีย์ฐานะคนในพื้นที่ยอมรับเลยว่าบางสถานที่ไม่เคยได้ไปเลย สถานที่ที่เคยไปก็ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ ดังนั้น จากการลงพื้นที่ทำให้ฟีย์ได้ เรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์มากขึ้น เช่น มัสยิดกรือเซะ ทลายความเชื่อเดิมเรื่องการถูกสาป และให้ได้ความรู้ใหม่ เรื่องประวัติศาสตร์บาดแผลเกี่ยวกับมัสยิดกรือเซะ ประการต่อมา สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นเรื่องที่ใหม่มากเช่นเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาเราคิดมาตลอดว่าสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวอยู่ข้างๆ กับมัสยิดกรือเซะ
จากการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้สิ่งที่ฟีย์ ไม่เคยคิดว่าจะสามารถพูดบรรยาย นำเพื่อนเที่ยวบ้านเกิดตนเองได้ เพื่อนชมว่าฟีย์เป็นไกด์ในการนำเที่ยวได้ดี ลุยไปได้ทุกที่ สิ่งที่ยังคงคิดถึงคือ บรรยากาศร้านน้ำชาทุกๆ คืนที่เราไปร้านน้ำชาที่เต็มไปด้วยวัยรุ่น เพื่อนมาจากต่างพื้นที่ก็ บอกว่าไม่คิดว่าร้านน้ำชาที่นี่จะมีการเปิดเพลงดัง คนจะเยอะทุกเวลาแบบนี้
บทสนทนาร้านน้ำชาที่เพื่อนได้มีการถามฟีย์ว่า มีอะไรที่อยากจะพูดเกี่ยวกับพื้นที่ปาตานี ฟีย์ได้เล่าถึงประเด็นการศึกษาของเด็กในพื้นที่ที่มีการเรียนเยอะมากเพราะพื้นที่เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางศาสนา และวัฒนธรรมโดยวันปกติโดยวันจันทร์ถึงศุกร์เด็กๆ จะไปเรียนโรงเรียนหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการในโรงเรียนก็มีการสอนสายสามัญและสายศาสนา ส่วนช่วงเย็นกลับมาเรียนกีรออาตีหรือเรียนอัลกุรอาน ช่วงวัน เสาร์อาทิตย์เด็กๆในพื้นที่ก็มีการเรียนตาดีกา ซึ่งฟีย์มองว่าการเรียนที่ใช้เวลาเยอะทำให้เด็กในพื้นที่ขาดความคิดสร้างสรรค์ในการใช้ชีวิต ในขณะเดียวกัน เด็กหลุดจากระบบการศึกษาจำนวนมาก ในช่วงมัธยมไปจนถึงระดับอุดมศึกษาโดยความสามารถของครอบครัวในการส่งเสีย เลี้ยงดู เพราะที่นี่ค่าจ้างในการทำงานรายวันถูกมากมีตั้งแต่ 120 บาทจนถึง 230 บาทต่อวัน
ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นปัญหาต่อเนื่องจากกรณีที่เด็กหลุดจากระบบการศึกษา คือ ปัญหายาเสพติด เป็นพื้นที่ที่มีการระบาดมากในพื้นที่เช่นกัน เด็กอายุต่ำกว่า 12 ก็มีการใช้ยาเสพติดแล้ว เพราะสามารถเข้าถึงได้ง่าย ในชุมชนที่เป็นชนบทเด็กกลุ่มที่ใช้ยามักจะรวมกลุ่มกันตามหัวสะพานพื้นที่ที่มีความมืด ก็ได้สะท้อนต่อในพื้นที่ที่มีด่านเยอะแต่ละด่านมีความเข้มงวดมากในการตรวจแต่ในขณะเดียวกันยาเสพติดก็เยอะมากเช่นกัน อีกกรณีคือ ในพื้นที่นี้เพื่อนก็ได้ถามต่อว่าทำไมคนที่นี่ส่วนใหญ่ขับมอเตอร์ไซค์ไม่ค่อยใส่หมวกกันน็อค ฟีย์ก็ตอบว่าคนที่นี่จะไม่ค่อยเคารพกฎจราจร เป็นความประมาทส่วนบุคคล แต่อีกประเด็นหนึ่งคือ การไม่อยากให้ถูก เรียกตรวจด้วยวิธีการตรวจที่ใช้เวลานาน
นอกจากนี้บทสนทนาที่เพื่อนสอบถามเรื่องเที่ยวว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่นี่จะเที่ยวที่ไหนมีการเที่ยวแบบไหนบ้าง ส่วนใหญ่ ที่นี่จะเป็นการเที่ยวแนวแคมป์ปิ้งในชุมชนและมีการเที่ยวตามคาเฟ่ ต่างๆหรือแนะนำชาถ้าหากอยู่ใน ตัวเมือง ต่อด้วยสงสัยเรื่องว่าปาตานีทำไมไม่มีแท็กซี่เหมือนกับจังหวัดอื่นๆ ก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน จากการสนทนากับเพื่อนต่างพื้นที่ เรารู้สึกได้ว่าคำถามที่เพื่อนถามเรา ทำใหเ้ราคิดได้ทบทวนสภาพความ เป็นอยู่ของคนปาตานีว่าใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งอย่างไร
สุดท้ายขอบคุณโครงการที่ได้ให้ฟีย์เป็นผู้เข้าร่วมในการกิจกรรมครั้งนี้ขอบคุณพี่ๆทุกคนค่ะ
แบ่งปันมุมมองโดย
ซาฟียะห์ ตาเยะ
1,057 ครั้ง