บทความนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์และความประทับใจของเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ Discover Patani ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (PRC) ที่ได้นำเยาวชนจากทั่วประเทศและเยาวชนจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ความขัดแย้งและสันติภาพ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม
“บริเวณอ่าวปัตตานีมีจุดจอดเทียบเรือ เพื่อทำการค้าขายของคนจีน ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนจีนกับชาวปัตตานีมาช้านาน”
การศึกษามีความสำคัญต่อโลกยุคปัจจุบัน ดิฉันมีความเชื่อว่า “การเรียนรู้ไม่ได้อยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเสมอไป แต่การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกการเดินทาง” ดิฉันจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Discover Pattani เพราะเล็งเห็นว่าวัตถุประสงค์ของโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ทั้งด้านการเรียนรู้เรื่องราวของปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหา การเปิดพื้นที่ให้กับเยาวชนมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้กัน ซึ่งเมื่อเกิดความเข้าใจ เกิดการเรียนรู้ที่หลากมิติ มีความรู้ที่เต็มเปี่ยมแล้วจึงกล้าที่จะแสดงศักยภาพของตนเองเป็นกระบอกเสียงถ่ายทอดปัญหาไปสู่สาธารณะมากขึ้น ส่งผลให้ชื่นชมว่าเป็นกิจกรรมที่มองเห็นถึงพลังของเยาวชน มอบโอกาสให้พวกเราได้พัฒนาตนเองมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาภายในสังคม และปกป้องชุมชน สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติในภายภาคหน้า
วันแรกที่ดิฉันย่างก้าวเข้ามา ณ ที่นี้ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อบอุ่นจนลืมความเหนื่อยจากการเดินทางไปหมดสิ้น ทุกคนที่นี่น่ารัก ใจดี ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี มีโอกาสทำความรู้จักกับมิตรภาพใหม่ๆ ร่วมพูดคุยรับประทานอาหาร เพียงไม่กี่นาทีดิฉันเข้ากับเพื่อนใหม่ได้ดีเพราะมีความสนใจคล้ายๆกัน และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่พวกเราเข้าร่วมกิจกรรมนี้นั่นเอง ช่วงกลางคืนดิฉันพักผ่อนให้หายอ่อนเพลียจากการเดินทาง ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นหัวใจแทบกระเด็นออกมาเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างเต็มรูปแบบ ช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นที่ดิฉันรอคอยก็มาถึงมีกิจกรรมละลายพฤติกรรมสร้างความคุ้นเคยระหว่างผู้เข้าร่วมกิจกรรม ช่วยให้ทุกคนกล้าแสดงออกมากขึ้น รู้จักตัวตนกันมากขึ้น ขจัดคำว่า “คนแปลกหน้า” ออกไป ตรงนี้มีเพียงแต่คำว่า “เพื่อนร่วมทาง” บนความมุ่งมั่นเดียวกัน
ดิฉันเป็นผู้ที่ชอบแสวงหาความรู้ต่างๆรอบตัวไม่ว่าจะเป็นตามตำรา หรือสื่อทางอินเตอร์เน็ตอยู่เสมอ แต่ที่ชอบมากที่สุดคือการนั่งฟังบรรยายจากตัวบุคคล เพราะเราจะได้รับฟังทัศนคติ หรือมุมมองทางความคิดของผู้พูดพร้อมกับได้รับความรู้ ข้อดีอีกอย่างคือสามารถซักถามข้อสงสัยได้ หรือฟังผู้อื่นมาร่วมอภิปรายประเด็นร่วมกัน ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อตัวเราอย่างยิ่งโดยเฉพาะการพัฒนาทางด้านความคิด การวิเคราะห์ความรู้ การสื่อสารต่อสาธารณชน การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน รับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันหาข้อสรุปของเรื่องราวร่วมกัน บรรยากาศดีกว่าการนั่งอ่านหนังสือคนเดียวเป็นไหนๆ นานๆครั้งเราจะได้มีโอกาสร่วมสัมมนากับผู้อื่น ซึ่งในกิจกรรมวันนี้ดิฉันได้รับความรู้จากท่านวิทยากรหลายท่าน หลายเรื่องราว ตั้งแต่เรื่องประวัติศาสตร์ของความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่อดีต, เรื่องกระบวนการพูดคุยสันติภาพ ถ้ามีการเจรจาสันติภาพอย่างเสรี ก็จะสามารถแก้ปัญหาสงครามได้ และผลที่ตามมาคือเกิดกระบวนการสันติภาพในเชิงบวก โดยการมีสันติภาพที่เสรีจะช่วยแก้ไขปัญหาได้เพียงรับฟังกัน, เรื่องการอยู่ร่วมกันในพื้นที่พหุวัฒนธรรม การผสมผสานวัฒนธรรมที่มาจากหลายกลุ่มชน โดยการจะอยู่ร่วมกันได้นั้นต้องยอมรับความแตกต่างระหว่างกัน เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน จึงนำพาไปสู่ความสงบสุขของสังคม อีกทั้งข้าราชการต้องเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมพร้อมให้ความสำคัญต่อการศึกษา ส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ การสร้างอาชีพ ดูแลความปลอดภัยและลดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติน้อยลง ต่อมาการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเยาวชนในพื้นที่ โดยการนั่งฟังวิทยากรของวันนี้นั้นไม่น่าเบื่อเลยสักนิด ในทางตรงกันข้ามดิฉันอยากจดบันทึกและนั่งฟังพร้อมกับขบคิดประเด็นต่างๆไปเรื่อยๆ ร่วมอภิปรายความรู้กับเพื่อนทั้งในและนอกพื้นที่ ประสบการณ์ที่ได้รับในวันนี้มากยิ่งกว่าการอ่านตำราหลายๆเล่มรวมกันเสียอีก เพียงวันแรกก็สร้างความประทับใจให้กับดิฉันจนไม่อยากกลับบ้านเลย
วันถัดมานับว่าเป็นอีกวันที่อุดมไปด้วยความตื่นเต้นกับการเดินทางออกมาท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้นอกสถานที่ภายในสามจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งสถานที่ที่ไปนั้นนับว่าเป็นสถานที่ Unseen Thailand ท้องฟ้าแจ่มใสท่ามกลางแสงแดดสว่างจ้าในช่วงสายๆ วันนี้ดิฉันตั้งใจมาเรียนรู้ความเป็นมาของแต่ละสถานที่ โดยไม่ลืมที่จะจดบันทึกเรื่องราวต่างๆและเก็บภาพบรรยากาศไปด้วย ระหว่างการเที่ยวชมสถานที่ ทางโครงการได้เชิญมัคคุเทศก์ซึ่งเขาเป็นชาวบ้านในพื้นที่และเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในท้องถิ่นนี้เป็นอย่างดี ดิฉันจึงถือโอกาสนี้สอบถามพูดคุยเรื่องวัฒนธรรม ความเชื่อ ภูมิปัญญา การดำรงวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ รวมไปถึงประวัติความเป็นมาเหตุการณ์สำคัญต่างๆพร้อมปรับตัวให้เข้ากับพวกเขาเหมือนสุภาษิตที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” เคารพต่ออัตลักษณ์ ให้เกียรติสถานที่ ประพฤติตนเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี รู้คุณค่าของสิ่งแวดล้อม หรือจะกล่าวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เห็นคุณค่าของสถานที่ก็ได้ ทัศนศึกษาในสถานที่แรก เขาพาดิฉันมาสถาปัตยกรรม ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีประตูรูปโค้งคล้ายกับศิลปะยุโรป มีชื่อว่ามัสยิดกรือแซะ เป็นโบราณสถานควบคู่กับศาสนสถาน พวกเราเดินเยี่ยมชมความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของมัสยิดแห่งนี้ พร้อมมีผู้นำเที่ยวอธิบายว่าหลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงของความไม่สงบในปีพ.ศ. 2547 ทำให้มัสยิดเกิดความเสียหายบางส่วน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามัสยิดแห่งนี้จะได้รับการซ่อมแซมแล้ว แต่ยังคงมีร่องรอยจากกระสุนคงเหลืออยู่ให้พวกเราได้เห็น
สถานที่ต่อมาอยู่ไม่ไกลมากนัก ตั้งอยู่ด้านหลังของมัสยิด คือ ฮวงซุ้ยเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเป็นผู้ที่ชาวจีนปัตตานีเคารพศรัทธามาจนถึงปัจจุบัน ไม่เพียงเท่านั้นดิฉันยังได้ทราบอีกว่าในประวัติศาสตร์บริเวณอ่าวปัตตานีมีจุดจอดเทียบเรือ เพื่อทำการค้าขายของคนจีน ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนจีนกับชาวปัตตานีมาช้านานและทำให้ดิฉันได้ทราบอีกว่าประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเกี่ยวกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวก็คือ ท่านไม่ได้สาปแช่งมัสยิดกรือเซะตามที่ตำนานเล่าขานไว้แต่อย่างใดและไม่ได้มีหลักฐานหรือตำราใดบอกไว้เลย มีบอกแต่เพียงว่าท่านแค้นใจและน้อยใจในตัวพี่ชายจึงได้ตัดสินใจสละชีวิตตนเองประท้วงพี่ชาย โดยการผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งเรื่องนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ใครหลายๆคนต่างก็กำลังเข้าใจผิดรวมถึงตัวดิฉันเองด้วยเช่นกัน อดีตที่ตรงนั้นเคยเป็นฮวงซุ้ยของเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว แต่ภายหลังน้ำทะเลกัดเซาะพื้นที่ จึงย้ายมาเป็นตรงนี้ที่ปัจจุบันแทน โดยได้ขุดไม้จากฮวงซุ้ยนี้ไปแกะสลักสำหรับบูชาที่ศาลหลักในเมืองและอีกสถานที่สำคัญอีกหนึ่งแห่ง คือ เมืองโบราณยะรัง มัสยิดตะโละมาเนาะการใช้ศิลปะผสมผสานระหว่างมลายู ชวา จีน โดยใช้ไม้เนื้อแข็งที่แกะสลักด้วยมือไม่ใช้ตะปูและมีอายุประมาณ 398 ปี อีกทั้งสามารถใช้ปฏิบัติศาสนกิจมาจนถึง ณ ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ยังคงหลงเหลือร่องรอยบาดแผลในอดีตของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบ โดยจะมีการจัดพิธีรำลึกในทุกปี มีทั้งชาวบ้านและเยาวชนพร้อมใจกันรวมตัวเพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว รวมแล้วมีผู้หญิงประมาณ 3,000 คน ส่วนผู้ชายนับหมื่นคน ซึ่งมันทำให้ดิฉันได้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่มีความรักชาติสูง มีความสามัคคีเป็นปึกแผ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดิฉันอยากจะให้ประชาชนในทุกพื้นที่พึงมี ไม่ใช่เพียงแค่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างยิ่ง ยากจะหาที่ใดเปรียบ
ในวันสุดท้ายเรามาร่วมกิจกรรมที่ Pattani Artspace สถานที่ตั้งอยู่ริมท้องนา ภายในมีนิทรรศการชวนให้หลงใหลมนต์เสน่ห์ทางศิลปะ โดยพื้นที่แห่งนี้ได้ใช้ศิลปะในการสะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและสะท้อนถึงความขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เป็นอย่างดี ดิฉันกวาดสายตาไปรอบๆอาณาบริเวณอย่างเพลิดเพลิน หมั่นพิจารณาถอดความหมายของงานศิลปะแต่ละชิ้นว่าจะสื่อถึงเรื่องอะไรบ้าง? เพื่อกลับไปเล่าให้กับเพื่อนที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมได้ฟัง ตามความมุ่งมั่นของตนเองที่ตั้งใจว่าจะกลับไปเผยแพร่ความรู้ที่ได้รับในโครงการนี้ไปสู่สังคมของตนเอง สิ่งที่ฉันประทับใจอย่างยิ่งคือ พื้นที่ของร้านนี้เห็นถึงคุณค่าของความเท่าเทียมของเพื่อนมนุษย์ เปิดกว้างให้คนทุกเชื้อชาติ ศาสนา และศิลปินทุกคนสามารถจัดแสดงศิลปะได้ โดยไร้ขอบเขตใดๆ วันนี้ทางร้านได้จัดแสดงศิลปะ โดยมีผลงานภาพถ่ายซึ่งภาพแต่ละภาพที่สื่อออกมาล้วนเป็นภาพถ่ายขาวดำ จากเหตุการณ์ต่างๆ โดยผู้ถ่ายได้สื่อให้ดิฉันเห็นถึงแววตาของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรง ความสูญเสียที่พวกเขาต้องประสบและนอกจากนี้ผลงานภาพวาด ศิลปะสื่อผสมที่แสดงถึงชาวบ้านผู้ที่เป็นผู้ถูกกระทำซ้อมทรมาน ได้รับผลกระทบทั้งทางร่างกายและด้านจิตใจ และอีกผลงานหนึ่งคือผลงานนกที่อยู่ในกรง โดยปกติตามธรรมชาติของนก คือ นกควรจะได้รับการโบยบินอย่างอิสระ แต่ผลงานศิลปะชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่านกที่มันถูกขังอยู่ในกรง มันน่าเศร้าและน่าหดหู่เพียงใด ผู้คนในพื้นที่แห่งนี้ควรที่จะได้รับอิสระ มีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น และรัฐควรที่จะยอมรับและเห็นคุณค่าของความแตกต่าง ดังคำกล่าวที่ว่า “แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก” เราทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพที่ควรจะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนที่นี่กลับถูกกระทำอย่างตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการถูกละเมิดสิทธิโดยหาความยุติธรรมและความเท่าเทียมมิได้ อีกทั้งทางโครงการได้จัดพื้นที่ให้นั่งอภิปรายความรู้ระหว่างวิทยากรและผู้เข้าร่วมกิจกรรมในประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมถึงประเด็นศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่ความขัดแย้ง
ในหัวข้อประสบการณ์และการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในพื้นที่ของกลุ่มด้วยใจ ทำให้ดิฉันได้ทราบว่ารัฐไทยมีการละเมิดสิทธิการประกันตัวของนักกิจกรรมที่ออกมาต่อต้านและเรียกร้องความเป็นธรรม มีการกระทำทรมานเกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงดำรัดคอ การเปลือยกายและเหยียบตรงอวัยวะเพศ การใช้ครีมถอนฟัน ซึ่งล้วนแล้วเป็นการกระทำที่โหดร้ายผิดมนุษย์ เกินกว่าที่จะรับไหว ทั้งนี้ผลที่ตามมา คือ พวกเขาจะได้รับการเก็บดีเอ็นเอโดยไม่ละเว้นแม้กระทั่งเด็กและจะมีทหารมาเยี่ยมเยียน ข่มขู่และสร้างความหวาดกลัวให้แก่คนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ทำให้นักกิจกรรมบางท่าน หันไปเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในกรุงเทพแทน เพื่อความปลอดภัยของนักกิจกรรมและคนในครอบครัวเอง จากการที่วิทยากรได้เล่าประสบการณ์และปัญหาข้างต้น มันทำให้ดิฉันตระหนักว่า จริงๆแล้วไม่ใช่เพียงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นที่ต้องเรียนภาษามลายู หรือภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน จังหวัดอื่นก็ศึกษาได้เช่นเดียวกัน เพื่อติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยความเข้าใจในการสื่อสาร อีกทั้งในมุมของฉันจากการที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในพื้นที่ที่มาโครงการของทาง PRC ด้วยกัน เธอเล่าว่า เมื่อเธอยังเยาว์วัย พ่อของเขาไม่สบายและมีทหารมาช่วยรักษา ดูแลอาการของพ่อเธอไว้ และเด็กๆที่นั่นก็มีความสนิทสนมกับทหารอีกด้วย ซึ่งมันทำให้ดิฉันคิดว่าข้าราชการซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนนอกพื้นที่ บางทีปัญหาความขัดแย้งมันคงจะลดน้อยลงถ้าหากว่าข้าราชการเข้าใจและเรียนรู้ความเป็นพหุวัฒนธรรมที่แตกต่าง สร้างความผูกพันกับชาวบ้านมากยิ่งขึ้น บางทีการที่ทำตามคำสั่งจากกระดาษเพียงใบเดียวอาจจะไม่ได้เป็นผลดีเท่ากับการสร้างความเข้าใจ ปัญหาเหล่านี้ย่อมทวีความรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วปัญหาเหล่านี้จะหมดไปได้อย่างไร นอกจากนี้ยังได้ข้อสรุปว่าถ้าต้องการเอกราชมาสู่ปัตตานี จำเป็นต้องให้ความสำคัญต่อคนที่เห็นด้วย และโน้มน้าวคนที่ไม่เห็นด้วยให้กลับมาไตร่ตรองดูใหม่อีกครั้ง และหาข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆ เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติวิธี
จากการเข้าร่วมโครงการ Discover Pattani ที่จัดตั้งโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ ดิฉันขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทุกท่านที่มีส่วนร่วมทำให้โครงการนี้จัดตั้งขึ้นมาอย่างประสบความสำเร็จ เป็นผลให้ดิฉันได้มีโอกาสร่วมโครงการดีๆ เข้าใจถึงประวัติศาสตร์ปัญหาในชายแดนใต้จนถึงปัจจุบัน รับทราบถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น สันติภาพที่ประชาชนพึงได้รับ และความสำคัญของความร่วมมือจากทุกคน ดิฉันยินดีที่ได้พบกับวิทยากรทุกท่านที่ได้มอบความรู้ มาพูดคุยแบ่งปันบอกเล่าประสบการณ์ ตลอดจนแสดงความคิดเห็นในหลายแง่มุม ทั้งนี้ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้าร่วมโครงการทุกคนที่มอบมิตรภาพ และมาเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำดีๆให้แก่กัน ซึ่งทุกอย่างที่ได้รับจากโครงการนี้ ดิฉันจะไม่เก็บไว้คนเดียวอย่างแน่นอน หลังจากจบกิจกรรมดิฉันตั้งใจไว้ว่าจะเป็นกระบอกเสียงถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับให้กับคนในครอบครัว เพื่อนฝูง และคนรู้จักคนอื่นๆ รวมทั้งดิฉันจะติดตามข่าวสารอยู่เสมอ หากอนาคตข้างหน้ามีโครงการใหม่ๆอีกครั้ง ดิฉันพร้อมจะเข้าร่วมเพื่อสั่งสมความรู้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ในครั้งต่อไป
แบ่งปันเรื่องเล่าโดย
อลิษา หลำเบ็ญสะ
1,071 ครั้ง