บทความนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์และความประทับใจของเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ Discover Patani ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (PRC) ที่ได้นำเยาวชนจากทั่วประเทศและเยาวชนจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ความขัดแย้งและสันติภาพ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม
“มีแต่คนฆ่าแกงกัน มีแต่ระเบิด คนยิงกันทุกวัน จะไปทำไม เดี๋ยวก็ตายหรอก”
ถ้าหากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีประวัติศาสตร์ มีเอกลักษณ์ มีกลิ่นอายวัฒนธรรม ศาสนาที่แตกต่าง ความเชื่อดั้งเดิม ธรรมชาติที่สวยงาม ผสมผสานกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านอย่างลงตัว บางท่านอาจจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต อย่าง หมู่บ้านแม่กำปอง ม่อนแจ่ม ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกำลังโด่งดัง และเป็นกระแสมาแรงในโลกออนไลน์ ที่หากใครได้เห็นก็คงอยากจะลองไปสัมผัส ไปใช้ชีวิต ไปพักผ่อนหย่อนใจเหมือนดั่งคนอื่นๆ
ผู้เขียนจึงถือโอกาสมาเล่าประสบการณ์ของตนเอง จากการเดินทางลงพื้นที่ ณ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งแรกในชีวิตของผู้เขียน เดิมที ผู้เขียนมีทัศนคติเกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากว่า เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ผู้ใหญ่มักสั่งสอนว่า “มีแต่คนฆ่าแกงกัน มีแต่ระเบิด คนยิงกันทุกวัน จะไปทำไม เดี๋ยวก็ตายหรอก” คำพูดบอกเล่าดังกล่าว เหมือนเป็นคำสั่งสอนเพื่อขู่ให้กลัวในขณะที่ ผู้เขียนยังเป็นเพียงแค่เด็กเล็กที่ไม่ทันได้คิดไตร่ตรองใดๆ จึงเกิดความหวาดกลัวตามคำบอกเล่าของญาติผู้ใหญ่มักพูดกัน ไหนจะเรื่องเล่าที่พูดต่อๆกันมา ทั้งที่ไม่เคยประสบพบเจอด้วยตนเอง พอได้ยินได้ฟังผู้ใหญ่เขาพูดอย่างไร ก็เชื่อเขาไปเสียแล้ว กลับกันเมื่อเวลาผ่านไปพอถึงช่วงที่ผู้เขียนเริ่มเติบโต และมีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น จึงฉุกคิดได้ว่า เหตุใดเราจึงปักใจเชื่อไปเสียก่อนตาเห็น ยิ่งตัวผู้เขียนได้มีโอกาสเรียนวิชาการเมืองการปกครองไทย ใยจะไม่สนใจหาความจริง หรือพยายามพิสูจน์มันสักหน่อยหรือ ฉะนั้นแล้ว ผู้เขียนจึงได้ตัดสินใจสมัครขอเข้าร่วม โครงการของทางมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (Peace Resource Collaborative Foundation – PRC F) จึงทำให้รู้ถึงเรื่องราวความเป็นมาของความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โครงการดังที่กล่าวไปคือ DISCOVER PATANI ทางผู้เขียนขอขอบคุณ ทางมูลนิธิฯที่เปิดโอกาสให้ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ลองไปใช้ชีวิต ได้เรียนรู้ และมองเห็นโลกภายนอกได้ด้วยตนเอง โลกภายนอกที่ไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้คำพูดของคนอื่น หากเรามองอีกมุมมอง เราอาจจะพบกับความธรรมดาที่แสนพิเศษ อย่างที่ผู้เขียนอยากจะนำเสนอภายใต้บทความนี้
ขอเกริ่นท้าวความก่อนเข้าเนื้อหาว่า ตัวผู้เขียนนั้นเป็นผู้ที่ชอบทานหมูมาก เกือบทุกมื้อต้องมีหมูเป็นส่วนผสม ในตอนที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นับรวมๆแล้วก็หลายคืน ผู้คนที่นี่นับถือศาสนาอิสลาม อย่างที่เราทราบกันดีว่าเขาจะไม่ทานเนื้อหมูกัน ขณะนั้นผู้เขียนจึงคิดว่า อาหารที่ไม่มีส่วนประกอบของหมู ผู้เขียนจะใช้ชีวิตอยู่ยังไงให้กินอิ่มนอนหลับทุกวันหนอ ก่อนที่จะได้คิดอะไรเพิ่มเติม ในคืนแรกของการพักผ่อนก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่กิจกรรมอย่างจริงจัง ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเดินตลาดแถวบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี สัมผัสแรกของผู้เขียนคืออาการตกใจเพราะได้ยินเสียงแว่วๆของพ่อค้าแม่ค้า คนเดินตลาดที่นี่ว่าไม่พูดภาษาไทย จึงได้แต่คิดในใจ ตายละหว่า ภาษาอังกฤษของผู้เขียนก็พอได้แค่คำว่า Yes No Ok เท่านั้น จะสื่อสารกันอย่างไรให้เข้าใจล่ะทีนี้ โชคดีมีรุ่นน้องที่ร่วมเดินทางมาพร้อมกันในคณะบอกว่า ภาษาที่คนท้องถิ่นพูดกัน เรียกว่าภาษามลายู ขณะเดียวกันคนที่นี่ก็สามารถพูดภาษาไทยได้เหมือนกัน ผู้เขียนได้ยินดังนั้น จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และใช้ชีวิตซื้อของกินเล่นมากมายภายในตลาดอย่างสบายใจ
การเดินทางไปตามสถานที่ในประวัติศาสตร์ทั้งในปัตตานี ยะลา นราธิวาส ล้วนน่าสนใจทั้งสิ้น ครั้งหนึ่งคณะเดินทางพร้อมกับผู้เขียน ได้การเดินทางไป มัสยิด สิ่งแรกที่คนต่างถิ่นอย่างผู้เขียนสังเกตเห็นคือบ้านเมืองที่ดูสะอาดตา สุนัขจรจัดที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนไม่มีมาให้เห็นเลยสักนิด บ้านเมืองที่ซึ่งแตกต่างจากที่จินตนาการไว้มาก ผู้เขียนรู้สึกประทับใจบ้านเมืองที่ดูสะอาดสะอ้านเช่นนี้มาก ระยะเวลาในการเดินทางไปมัสยิดใช้เวลาไม่นานเท่าที่คิดนัก เมื่อมาถึงแล้ว เราจะรู้สึกสะดุดตาเป็นพิเศษกับรูรอบๆตัวมัสยิด มัสยิดนี้มีชื่อว่ามัสยิดกรือเซะ ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีอายุมากกว่าสองร้อยปีเข้าไปแล้ว ปัจจุบันนับได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในปัตตานี นอกจากนี้มัสยิดกรือเซะยังมีผู้คนเข้ามาทำพิธีกรรมทางศาสนากันอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น การละหมาด ฯลฯ
หากกล่าวถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ทุกท่านคงนึกถึงพื้นที่ชายแดนที่ติดกับมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย ด้วยเหตุผลที่ประชากรส่วนมากในที่แห่งนี้นับถือศาสนาอิสลามกันเกือบทั้งหมด คงจะมีแต่มัสยิด มัสยิด และมัสยิดเป็นที่แน่แท้ ผู้เขียนเองก็คิดเช่นนี้ ทว่าเมื่อได้ไปท่องเที่ยวที่จังหวัดยะลา ผู้เขียนถึงกับอุทานด้วยความประหลาดใจ เหตุใดถึงมีวัดของศาสนาพุทธอยู่ที่นี่ วัดนี้มีชื่อว่า วัดหน้าถ้ำ หรือ วัดคูหาภิมุข สถานที่ร่มรื่นมีคูคลองล้อมรอบเช่นนี้ ทำให้เกิดทัศนียภาพความสวยงามที่กลมกลืนไปกับภูเขาที่ล้อมรอบอย่างลงตัว การเข้าไปที่ตัววัดต้องขึ้นบันไดไปเสียหลายขั้นกว่าจะเข้าไปถึงจุดนมัสการกราบไหว้ ผู้ที่กลัวความสูงขอให้ผ่านไปก่อน เนื่องจากบันไดชันพอสมควร พึงระวังไว้เสมอว่าควรขึ้นไปกราบไหว้ด้วยความระมัดระวัง ตามราวจับบันไดเองก็มีความเชื่อของชาวพุทธให้เห็นบ้าง อย่างเช่น พญานาค ใกล้ๆกันนั้นก็มีรูปปั้นของยักษ์ขนาดใหญ่ เมื่อดูชมพระพุทธรูปด้านบนภูเขาเสียจนพอใจกันหมดแล้ว ด้านล่างยังมีพระในถ้ำมืด เห็นว่าต้องใช้ไฟฉายส่องนำทางยามที่เราเข้าไปเยี่ยมชมข้างในถ้ำ แต่เมื่อคราวที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ เป็นช่วงเวลาเกือบจะค่ำมืด เจ้าหน้าที่ดูแลวัดได้กลับไปหมดแล้ว ผู้เขียนพร้อมกับทางคณะได้เพียงแต่ยืนชมวิวทิวทัศน์ และซึมซับบรรยากาศภายนอกเท่านั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ
เดิมทีผู้เขียนเป็นผู้ที่มักสิงอยู่กับบ้าน ไม่ชื่นชอบการออกเดินทางไปตามสถานที่ท่องเที่ยวโบราณๆเก่าแก่คร่ำครึเท่าใดนัก แต่เมื่อได้มาพบกับสถานที่จริงแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อย่างเช่นสถานที่ เมืองโบราณ ผู้เขียนตื่นตาตื่นใจกับโบราณสถานขนาดใหญ่ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงซากปรักหักพัง ผู้เขียนมองว่า มันคือความยิ่งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เป็นเหมือนกับความรุ่งเรืองของวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่รอให้คนรุ่นใหม่ รุ่นลูกรุ่นหลานมาค้นหา และคงกำลังรอการค้นพบ ขณะเดียวกันก็ให้กลิ่นอายลึกลับน่าค้นหา มีมนต์ขลัง
จากที่ได้เกริ่นนำถึงสถานที่ท่องเที่ยวไปบ้างแล้ว นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้าอีกมากที่ยังไม่ได้กล่าวออกไป เพียงแต่ตัวผู้เขียน นำเสนอสถานที่ที่ผู้เขียนประทับใจมากเป็นพิเศษเท่านั้น ซึ่งประสบการณ์การใช้ชีวิตในสามจังหวัดชายแดนภายใต้ในครั้งนั้น ทำให้มุมมองของผู้เขียนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยมาสัมผัสชายแดนภาคใต้มาก่อน ผู้เขียนอยากให้ทุกคนได้ลองมาใช้ชีวิต ลองมาเที่ยวพักผ่อน ลองเปิดใจให้กับที่แห่งนี้ บางทีคุณอาจจะติดใจจนต้องมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับต้องมนต์สะกด เหมือนกับความรู้สึกของผู้เขียนในตอนนี้ที่อยากจะกลับไปเที่ยวที่นั้นอีกครั้ง
ทั้งนี้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงรอต้อนรับผู้คนอีกมากที่ต้องการศึกษาความรู้ ศึกษาความเป็นมา ศึกษาประวัติศาสตร์ ศึกษาวิถีชีวิตชุมชนอย่างถ่องแท้ คนที่นี่ไม่ได้ปิดกั้นคนภายนอก ทั้งยังรอต้อนรับอยู่เสมอ เมื่อถึงวันหนึ่ง ที่ผู้คนคลายความหวาดกลัว ลบภาพมายาคติลบภาพจำต่างๆที่เคยเกาะกินอยู่ในใจ วันนั้น พื้นที่แห่งนี้อาจจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งใหม่ที่มีผู้คนต่างให้ความสนใจ กลับกลายเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม ลบภาพจำเก่าๆ ที่ผู้คนมักจดจำเพียงแค่ความรุนแรง เกิดเป็นภาพจำใหม่ๆ ที่สร้างความสุขได้ทั้งสองฝ่าย มันคงจะดีกว่านี้ หากเราได้มีความสุขไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติอะไร ศาสนาไหน อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งใด
“สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่กลับไม่เป็นที่นิยม
อาหารที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง แต่กลับมีรสชาติที่ถูกปาก
ผู้คนต้อนรับผู้มาเยือน แต่ตัวผู้มาเยือนนั้น ลองเปิดใจดูหรือยัง
แล้วตัวท่านเอง อยากให้บ้านเมืองเป็นแบบไหนกัน”
แบ่งปันเรื่องเล่าโดย
ธิติสุดา พลราชม
962 ครั้ง