บทความนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์และความประทับใจของเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ Discover Patani ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (PRC) ที่ได้นำเยาวชนจากทั่วประเทศและเยาวชนจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ความขัดแย้งและสันติภาพ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม
“หากมองย้อนกลับไป ในช่วงไม่กี่ปีแรกของช่วงชีวิต ผมไม่เคยได้เห็นหรือรับรู้เกี่ยวกับพื้นที่สามจังหวัด ชายแดนภาคใต้ในด้านอื่น ๆ นอกจากการเกิดสถานการณ์มากเท่าไหร่ อาจจะเนื่องมาจากในแต่ละวันข่าวสารที่สื่อนำออกไปเสนอนอกพื้นที่ก็มีแต่ข่าวสถานการณ์ การก่อเหตุความไม่สงบ การมองคนในพื้นที่อย่างมีอคติว่าแบ่งแยก ดินแดนบ้าง ไม่รักชาติบ้าง”
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในสายตาของคนนอกพื้นที่ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีสถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น แทบจะรายวัน ตลอดระยะเวลากว่า 18 ปี ของการเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากจะเป็น การท้าทายกระบวนการการทำงานของภาครัฐที่มีต่อพื้นที่แล้ว ยังเป็นเรื่องท้าทายต่อ “คนนอก” พื้นที่ ที่ต้องการมาสำรวจ ค้นหา ทั้งประสบการณ์และความหมายของชีวิตในพื้นที่แห่งนี้อยู่เสมอ นอกจากนี้ สาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังเป็นแหล่งเรียนรู้พื้นที่วัฒนธรรมที่แตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ของภาคใต้ หรือแม้กระทั่ง จากส่วนกลางของประเทศไทยอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นภาษา วัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต ที่อาศัยศาสนาเป็นเข็มทิศ ชี้นำ และการยื้อยุดระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เป็นรากเหง้า ประวัติศาสตร์เชื้อชาติมลายูปตานี กับอิสลามสายใหม่ ที่มาเป็นคู่แข่งด้านความศรัทธาเพราะมีการกล่าวอ้างว่าส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมนั้นไม่สามารถเดินร่วมทางกับ ศาสนาได้
จากการใช้ชีวิตมาบนโลกนี้มาประมาณ 23 ปีของผม ในช่วงระยะเวลา 18 ปีก่อนที่จะได้เข้ามาเรียน มหาวิทยาลัย และก่อนที่จะได้เข้ามาสัมผัสกับพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแนบชิดแบบตลอดเวลากว่า 4 ปี ผมได้มีมุมมองต่อพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่หลากหลายมาก จากผู้คนที่อยู่รอบข้างตัวผม ไม่ว่าจะเป็น คนในครอบครัว เพื่อนและครูโรงเรียน ชาวบ้านในชุมชนบ้านนอก ทุกคนล้วนแล้วแต่มีทัศนคติต่อพื้นที่นี้แตกต่าง กัน บางคนก็เคยมาสัมผัสและอยู่อาศัยที่นี่ บางคนก็มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่ บางคนไม่เคยมาแต่มีเพื่อน มีเส้นสาย หรือ ติดตามข่าวสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ซึ่งทำให้ตัวผมเองมองว่าพื้นที่แห่งนี้นั้นมันน่าสนใจ
หากมองย้อนกลับไป ในช่วงไม่กี่ปีแรกของช่วงชีวิต ผมไม่เคยได้เห็นหรือรับรู้เกี่ยวกับพื้นที่สามจังหวัด ชายแดนภาคใต้ในด้านอื่น ๆ นอกจากการเกิดสถานการณ์มากเท่าไหร่ อาจจะเนื่องมาจากในแต่ละวันข่าวสารที่สื่อ นำออกไปเสนอนอกพื้นที่ก็มีแต่ข่าวสถานการณ์ การก่อเหตุความไม่สงบ การมองคนในพื้นที่อย่างมีอคติว่าแบ่งแยก ดินแดนบ้าง ไม่รักชาติบ้าง แต่เมื่อผมโตขึ้นมาเข้าสู่วัยมัธยม ผมกลับได้ฟังประสบการณ์จากคนที่เคยมาอยู่อาศัยใน พื้นที่แห่งนี้นั่นก็คือครูในโรงเรียน ซึ่งแต่ละคนก็มาในยุคที่ใกล้เคียงกันบ้าง ห่างกันบ้าง เรียนสาขาหรือคณะ เดียวกัน หรือเรียนต่างสาขาหรือคณะกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้มุมมองต่อพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของผม เปลี่ยนไป รวมทั้งทำให้ผมเกิดความสนใจที่จะมาเรียนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้น อาจจะด้วย เหตุผลว่ามาเรียนไกลบ้านแล้วจะได้เรียนรู้โลกกว้างมากขึ้นด้วยมั้ง แต่ก็ได้หลาย ๆ อย่างจริง ๆ นะ จากเด็กบ้าน นอกคนนึง ได้ออกมาอยู่ไกลบ้านตั้ง 5 ปีแล้วยังต้องมาอยู่ในพื้นที่ที่เอาแน่เอานอนเรื่องความปลอดภัยไม่ได้ มันได้ ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่จะทำให้เอาตัวรอดจากพื้นที่แห่งนี้ไปได้
ผมเป็นคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ในภาคใต้ และอยู่ในสังคมที่มีคน หลากหลายความเชื่อมาอยู่อาศัยร่วมกัน อาจจะไม่สามารถเคลมได้ว่าเป็น “สังคมพหุวัฒนธรรม” แต่คนส่วนใหญ่ก็ มีปฏิสัมพันธ์และอยู่ร่วมกันได้ดีอาจจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงถึงขั้นเกิดความเกลียดชังหรือหวาดกลัว คนต่างกลุ่มต่างความเชื่อกัน ผมความทรงจำสมัยเด็ก ๆ ของผม พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่ ห่างไกลจากที่บ้านมาก และแทบจะไม่มีข่าวคราวจากในพื้นที่ออกไปที่บ้านมากเท่าไหร่ ยกเว้นแต่กับคนที่มี ลูกหลานมาเรียนในพื้นที่นี้ จนกระทั่งผมได้เรียนชั้นมัธยมต้น และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ลงมา “เฉียดพื้นที่สาม จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นครั้งแรก โดยการเดินทางมาทัศนศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต หาดใหญ่ ซึ่งก็ไม่ไกลจากพื้นที่มากนัก และนั่นก็ทำให้ผมได้เห็นว่าพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างนั้นมีความแตกต่างทาง วัฒนธรรมและการเป็นอยู่ของผู้คนพอสมควร หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 ปี ก็ได้เกิดเหตุการณ์ระเบิดที่โรงแรมแห่ง หนึ่งกลางเมืองหาดใหญ่ แต่หลังจากนั้นก็มีโครงการทัศนศึกษาของโรงเรียน โดยต้องเฉียดพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง ผม และเพื่อน ๆ ต่างก็มีความกังวลในด้านความปลอดภัย เพราะนับตั้งแต่สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ ได้เกิด ขึ้นมาอย่างรุนแรงในปี 2547 (2004) ในครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่มีเหตุระเบิดกลางเมืองหาดใหญ่ (ปี 2556: 2013) แต่ด้วยความเชื่อมั่นต่อระบบการรักษาความปลอดภัย และโชคลางด้านการหลบหลีกอันตราย จึงยังทำให้ผมมั่นใจ ที่จะเดินทางต่อ และยังคงเข้าร่วมการทัศนศึกษาเสมอ จนกระทั่งผมเข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย ผมก็ได้ปรึกษาครูที่ โรงเรียนหลายคนเรื่องการเรียนต่อ และครูส่วนใหญ่ก็เคยเรียนและจบการศึกษาจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ นั่นจึงเป็นการจุดประกายความฝันของผมที่อยากจะมาเรียนในพื้นที่ และลองมาใช้ชีวิตไกลบ้าน
จนกระทั่งผมจบมัธยมปลาย และได้ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งผมจะต้องสอบสัมภาษณ์ ที่คณะรัฐศาสตร์ นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเหยียบพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งก็เป็นดังคำกล่าวที่ว่า “ครั้งแรกมักจะตื่นเต้นและน่าประทับใจเสมอ” เพราะก่อนหน้าที่จะลงไปสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยไม่กี่วัน ก็มี เหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ผมก็ประทับใจในความเปิดกว้างของคนที่นี่บางส่วน เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเดือนรอมฎอน
ที่คนมุสลิมจะต้องถือศีลอดในช่วงเวลากลางวัน แต่เขาก็ยังเอื้อเฟื้อที่พักและอาหารให้ผมกับพ่อได้ทาน รวมทั้งได้ไป เที่ยวสถานที่สำคัญ ๆ ในจังหวัดปัตตานีและจังหวัดยะลา อย่างเช่นวัดช้างไห้มัสยิดกรือเซะ และวัดหน้าถ้ำ ทำให้ ผมเห็นการอยู่ร่วมกันของชาวบ้านในชุมชนที่มีทั้งคนพุทธและมุสลิมในชุมชนเดียวกัน และทำให้ผมได้เห็นกับตา เป็นครั้งแรกว่า สามจังหวัดฯมันก็ไม่ได้ล้าหลังอย่างที่คิด ดีไม่ดีก็ยังมีการพัฒนากว่าที่บ้านผมเองเสียอีก และแม้ว่า ช่วงเวลาที่ผมได้ลงมาสัมผัสพื้นที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกจะมีระยะเวลาสั้น ๆ แค่ไม่กี่วัน แต่ก็ได้สร้างความทรงจำดี ๆ มุมมองและทัศนคติที่ดีต่อพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้นว่า “มันก็ไม่ได้เกิดเหตุการณ์รุนแรงมากอย่างที่ คิด” และ “คนที่นี่ก็ไม่ได้เกลียดคนที่อยู่นอกพื้นที่อย่างที่หลายคนกล่าวมา” จนเมื่อถึงวันที่ผมต้องเข้ามาอยู่ที่มหาวิทยาลัย นั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมต้องออกมาอยู่ไกลบ้านเป็นระยะ เวลานาน ๆ เป็นครั้งแรกที่จะต้องมาแชร์ห้องนอนซึ่งเป็นพื้นที่เซฟโซนที่สุดของผมร่วมกับคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักมา ก่อน นั่นทำให้ผมต้องเข้าหาคนอื่นเพื่อปรับตัวให้ห้องนอนสามารถเป็นพื้นที่ที่อบอุ่นได้
หลังจากวันปฐมนิเทศผ่านพ้นไป ผู้ปกครองของนักศึกษาก็กลับบ้านกันไปหมดแล้ว นักศึกษาส่วนใหญ่ก็มา อยู่ที่มหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว ก็เป็นวันแรกที่ต้องใช้ชีวิตในฐานะ “นักศึกษา” อย่างเต็มตัว และกลายเป็น “เด็ก หอ” ครั้งแรกในชีวิต ในตอนแรกผมก็ใช้ชีวิตแบบ “ปกติ” เหมือนตอนอยู่ที่บ้าน จนเมื่อผมลงมาทานอาหารที่โรง อาหารด้านล่าง ความ “ปกติ” ของผมนั้นก็กลายเป็นความ “ไม่ปกติ” ของนักศึกษาคนอื่น ๆ เพราะคนที่นี่ล้วน แล้วแต่แต่งตัวด้วยชุดแขนยาวขายาว ผู้หญิงที่เป็นมุสลิมส่วนใหญ่ก็จะคลุมศีรษะด้วยฮิญาบตามความเชื่อทาง ศาสนา ส่วนผู้ชายก็จะใส่เสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว และที่สำคัญคือทุกคนสื่อสารกันด้วย “ภาษามลายู” ซึ่ง เป็นภาษาที่คนในพื้นที่ใช้สื่อสารกันมานาน ผมเองนั้นไม่เคยรู้ภาษานี้มาก่อนจึงได้แต่นั่งฟังทุกคนพูด และได้พูดคุย แลกเปลี่ยนกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ชื่นชอบการเมืองและประวัติศาสตร์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ผมได้ รู้ประวัติศาสตร์ของพื้นที่แห่งนี้มากขึ้น และมากกว่าที่เคยเรียนในห้องเรียนสมัยมัธยม หรือแม้กระทั่งบาง ประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านที่ผ่าน ๆ มาหลายเล่มนั้น มันช่างแตกต่างกันเป็น อย่างมาก
จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ผมได้เข้าร่วมกิจกรรมย้อนรอยประวัติศาสตร์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง โครงการนั้นได้ทำให้ผมรู้ว่า พื้นที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานนับพันปี และมีการเปลี่ยนผ่านทาง ความเชื่อมาหลายรูปแบบ ทั้งความเชื่อท้องถิ่นสมัยโบราณ จนเมื่อมีการเข้ามาของพ่อค้าชาวอินเดียที่ทำให้คนในที่ แห่งนี้รับเอาศาสนาฮินดูเข้ามา มีการสร้างศาสนสถานแบบฮินดูที่ยังคงเหลือหลักฐานไว้ให้เห็น และจากศาสนา ฮินดูก็พัฒนามาเป็นศาสนาพุทธและอิสลามตามลำดับจนมาถึงปัจจุบัน และผมก็ได้เห็นถึงความรุ่งเรืองในอดีต จนถึงความร่วงโรยของอาณาจักรลังกาสุกะหรือปตานี จนมาถึงการฟื้นฟูวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ในพื้นที่อีก ครั้งหนึ่ง ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากความเข้มแข็งของคนในพื้นที่ที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้
นอกจากนี้ในช่วงปีหลัง ผมก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมขององค์กร Religions for Peace ซึ่งมีสถาบันสิทธิ มนุษยชนและสันติศึกษาเป็นผู้ดำเนินการจัดกิจกรรมในประเทศไทย ซึ่งกิจกรรมที่ผมได้เข้าร่วมก็จะเป็นการพูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างคนที่นับถือศาสนาที่แตกต่างกันในประเด็นการสร้างสันติภาพในพื้นที่ โดยมี ศาสนามาเป็นตัวกลางในการสร้างความเข้าใจว่า ความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น แต่ละความเชื่อหรือศาสนา สามารถ ถอยหลังกันฝั่งละหนึ่งก้าวเพื่อเปิดใจและรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง รวมทั้งเพื่อเป็นการลดอคติต่อคนที่นับถือศาสนาแตกต่างกัน ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมสนใจในประเด็นสันติภาพในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มากขึ้น
ผมหวังว่าวันหนึ่งพื้นที่แห่งนี้จะห่างหายจากการเกิดสถานการณ์ความไม่สงบ และหวังว่าการยอมรับอัต ลักษณ์ของคนที่เป็นส่วนน้อยในประเทศไทยในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ จะไม่ถูกทำให้กลายเป็นความแปลกแยกที่ คนจากส่วนกลางไม่ยอมรับ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นการรวมเลือดเนื้อที่แท้จริง
-ขอให้สันติจงมีแด่ทุกท่าน-แบ่งปันเรื่องเล่าโดย
วรัญชิต บู่ทอง …… …..
1,566 ครั้ง