ความเข้าใจเบื้องต้นต่อปัญหาความรุนแรงที่ปาตานี (จังหวัดชายแดนภาคใต้) – ตอนที่ 1

รูปภาพ A soldier protects students at a Pakaharang school. จาก https://www.aljazeera.com/gallery/2014/3/20/in-pictures-thailands-embattled-schools เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565.

1. สภาพทั่วไปของปัญหาความรุนแรงที่ปาตานี (จังหวัดชายแดนภาคใต้): การกระทำกับสาเหตุ

สถานการณ์ความรุนแรงที่ปาตานีระลอกปัจจุบัน ถูกนับเริ่มต้นในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2547 เมื่อเกิดเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนจำนวน 413 กระบอกไปจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) ตลอดระยะเวลาของความรุนแรงนับตั้งแต่ห้วงปีดังกล่าวมาจนถึงสิ้นปี พ.ศ.2564 เหตุรุนแรงได้เกิดขึ้นอย่างน้อยจำนวน 21,235 ครั้ง โดยมีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 7,294 ราย ควบคู่กับความพยายามแก้ไขปัญหาของรัฐบาลถึง 8 ชุด ของนายกรัฐมนตรี 6 คน ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้นราว 3.13 แสนล้านบาท[1]

แม้ว่ามูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นนับหมื่นครั้งตลอด 18 ปี อาจมีปะปนด้วยความขัดแย้งส่วนตัว อาชญากรรม และการผสมโรง แต่เหตุรุนแรงจำนวนมากถูกกระทำขึ้นโดยมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง  ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงที่ปาตานีมิใช่การก่ออาชญากรรมในความหมายทั่วไป ดังนั้น มาตรการทางทหาร มาตรการทางตำรวจ จึงไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหา และมุมมองเชิงกฎหมายอาญาต่อผู้ก่อเหตุรุนแรงว่าเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย หรือเป็นโจร ก็จึงไม่เพียงพอต่อการจะเข้าใจสภาพปัญหาได้อย่างถูกต้อง

ดังได้กล่าวไว้แล้ว การก่อเหตุรุนแรงจำนวนมากในพื้นที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย อุดมการณ์ และความเชื่อทางการเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้ หากอุปมาว่าการเผชิญปัญหาปาตานีของสังคมไทยเป็นเสมือนโรคร้ายโรคหนึ่ง ตัวของ “การกระทำความรุนแรง” จึงเปรียบได้กับอาการปลายเหตุของโรคที่แสดงออกมาให้สัมผัสได้ ส่วน “เป้าหมายทางการเมือง” ก็เปรียบได้กับสาเหตุรากเหง้า (root cause) ของโรคร้าย ที่บางครั้งก็เหมือนจะสำแดงตนออกมาให้รับรู้ได้ลางๆ แต่หลายครั้งก็ถูกปกปิด กดทับให้ต้องซ่อนตัวไร้เรือนร่างและร่องรอยให้รับรู้

ความยืดเยื้อเรื้อรังของปัญหานี้ที่ดำเนินมาเกือบ 2 ทศวรรษ มีสาเหตุสำคัญคือ รัฐบาลแต่ละชุด ไม่ว่าจะโดยความรู้ความเข้าใจของตนเอง หรือจะโดยการไม่อาจช่วงชิงการนำในการกำกับทิศทางต่อปัญหาไปจากกองทัพได้ก็ตาม ล้วนให้สัดส่วนน้ำหนักที่มากไปกับการมุ่งแก้ “อาการ” ของโรค แทนที่จะทุ่มเทให้กับการจัดการ “สาเหตุรากเหง้า” ของโรค

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า การจะแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่ปาตานีได้โดยแท้จริงนั้น ปฏิเสธที่จะวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุดที่ “สาเหตุรากเหง้า” ของโรคไปไม่ได้ โจทย์ถัดมาจึงเป็นว่า สาเหตุรากเหง้าของปัญหาที่กล่าวถึงนี้มีหน้าตาอย่างไร

2. เป็นปัญหาที่มีประวัติศาสตร์

รูปภาพจาก https://media.gettyimages.com/photos/thai-muslim-children-pray-during-at-the-kruse-mosque-in-pattani-on-picture-id82817146?s=612×612 เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565.

แม้ว่าปัญหาความรุนแรงที่ปาตานี “ระลอกปัจจุบัน” จะนิยมนับกันว่าตั้งแต่ใน พ.ศ.2547 ดังได้กล่าวไป แต่ปรากฏการณ์นี้ก็มิได้เกิดขึ้นจากสุญญากาศในปีดังกล่าว แต่มีรากทางประวัติศาสตร์เป็นบริบทกำกับความรุนแรง ซึ่งแปลว่า ปัญหานี้มีระลอกของความรุนแรงหลายระลอกที่ปะทะเผชิญหน้ากันในหลายระยะของเส้นประวัติศาสตร์

สำหรับประวัติศาสตร์ฉบับราชสำนักปาตานี พื้นที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของรัฐจารีตที่เคยรุ่งเรืองในอดีตซึ่งมีหลักฐานสืบย้อนกลับไปได้ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 คือ อาณาจักรลังกาสุกะ (Lagkasuka) และอาณาจักรที่ก่อตั้งขึ้นในยุคหลังจากนั้น คือ อาณาจักรปาตานี (Patani) ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 และเมื่อผู้ปกครองเข้ารับศาสนาอิสลาม อาณาจักรจึงถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ปาตานีดารุสลาม (Patani Darussalam) รัฐจารีตทั้งสองรัฐนี้เรืองอำนาจยิ่งใหญ่ขึ้นบนคาบสมุทรมลายูได้จากปัจจัยพื้นฐานร่วม คือ ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อันมีความ สำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของโครงข่ายการค้าทางทะเลยุคโบราณ ระหว่างอาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย และจีน พูดอีกแบบคือ ความรุ่งเรืองของทั้งลังกาสุกะ และปาตานี ก่อตัวขึ้นจากการมีตำแหน่งแห่งที่อันสำคัญอยู่ในระบบเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศในอดีต

อาณาจักรปาตานีดารุสลามรุ่งเรืองขึ้นถึงขีดสุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ในฐานะท่าเรือนานาชาติ (international port) ที่เป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลสำคัญในทะเลตะวันออก โดยเป็นจุดแวะพักและค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างพ่อค้าต่างชาติหลายเชื้อชาติ ทั้งในเอเชีย รวมไปถึงโปรตุเกส ฮอลันดา และอังกฤษ โดยมีมูลค่าการค้าที่สูงอยู่กับจีนและญี่ปุ่น ถึงกับมีการเล่าขานกันว่า ท่าเรือปาตานีกับท่าเรือฮิราโดะในจังหวัดนางาซากิ เป็นเสมือนท่าเรือคู่แฝดกัน[2] และ “…หากจะมองดูในทะเลเวลากลางคืน จะเห็นคล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้า อันเกิดจากแสงตะเกียงบนเรือกระพริบระยิบระยับ เต็มท้องทะเล…”[3]

นั่นคือ ความภาคภูมิใจของคนมลายูปาตานีต่อประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองของชนชาติ แต่รัฐจารีตแห่งนี้ก็เสื่อมถอยทางอำนาจลงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 อันมีปัจจัยสำคัญมาจากการเมืองภายในราชสำนัก โดยเมื่อรัตนโกสินทร์สถาปนาขึ้นใน ค.ศ.1782 (พ.ศ. 2325) และกระชับอำนาจในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเข้าไว้เป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ของพื้นที่ดังกล่าวได้แล้ว รัตนโกสินทร์ก็ดำเนินนโยบายแผ่ขยายอำนาจต่อบรรดารัฐจารีตที่ห้อมล้อมซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจที่เล็กกว่าในอาณาบริเวณต่างๆ ครอบคลุมมาจนถึงคาบสมุทรมลายู เมื่อประกอบกับปัญหาของปัจจัยภายในดังได้กล่าวไปแล้ว ส่งผลให้ใน ค.ศ.1786 (พ.ศ. 2329) ปาตานีพ่ายแพ้สงครามต่อรัตนโกสินทร์และสูญเสียสถานะการเป็นศูนย์กลางอำนาจในอาณาบริเวณคาบสมุทรมลายูลงไป เหตุการณ์นี้จัดเป็นหนึ่งในจุดอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ฉบับราชสำนัก   ของปาตานีที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอันทำให้ “…อธิปไตยของรายาปะตานีและเสรีภาพของชาวปะตานีก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวสยามจนตราบเท่าทุกวันนี้…”[4]

ภายใต้ยุคสมัยของรัฐจารีต วิธีคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” นั้นแตกต่างจากปัจจุบันอย่างมาก คือ เมื่อศูนย์กลางอำนาจที่ใหญ่กว่าสามารถขยายอำนาจขึ้นเหนือศูนย์กลางที่เล็กกว่าได้แล้ว ฝ่ายแรกนั้นจะไม่ยึดดินแดนเอาไว้ในการปกครอง หากแต่ยังให้อิสระกับฝ่ายหลังในการปกครองตนเองภายใต้เงื่อนไขของการแสดงความสยบยอมต่ออำนาจที่เหนือกว่าในรูปแบบวิธีต่างๆ ที่สำคัญคือ การส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องบรรณาการ ดังนั้น เมื่อรัตนโกสินทร์พิชิตปาตานีได้ รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐก็เป็นไปตามวิธีคิดข้างต้นในระยะแรก โดยแต่งตั้งคนมลายูปาตานีขึ้นเป็นเจ้าเมือง คือ เติงกู ลามีเด็น ภายใต้การกำกับดูแลของนครศรีธรรมราช เมื่อเติงกู ลามีเด็น นำมวลชนลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปลดแอกแต่พ่ายแพ้ รัตนโกสินทร์ก็ยังแต่งตั้งคนท้องถิ่นขึ้นเป็นเจ้าเมืองใหม่อีก คือ ดาโต๊ะ ปังกาลัน แต่เพิ่มตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองขึ้นมาใหม่ซ้อนเข้าไปเพื่อคานอำนาจโดยให้เป็นคนสยาม พร้อมกับแต่งตั้งข้าราชการสยามจำนวนหนึ่งเข้าไปปกครองปาตานี

การก้าวล่วงความเป็นอิสระของศูนย์กลางอำนาจเหนือพื้นที่ตนเองเป็นปัจจัยสำคัญของความขัดแย้งอีกระลอกระหว่างขุนนางชั้นสูงชาวมลายูปาตานีกับชาวสยาม โดยเฉพาะเรื่องระเบียบและธรรมเนียมปฏิบัติตามประเพณีของชาวมลายูปาตานี จนเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง ความพ่ายแพ้ของปาตานีหนนี้ทำให้รัตนโกสินทร์จัดโครงสร้างการปกครองปาตานีใหม่โดยแต่งตั้งขุนนางสยามเป็นเจ้าเมืองแทนคนท้องถิ่น คือ นายขวัญซ้าย หรือกวงไส ชาวจีนจากสงขลา และนำคนสยามจากพัทลุง และสงขลา ย้ายถิ่นฐานมายังปาตานีมากกว่า 500 ครัวเรือน เพื่อผสมกลมกลืนและถ่วงดุลเชิงจำนวนประชากรกับชาวมลายูปาตานี ภายหลังนายขวัญซ้ายถึงแก่อสัญกรรม รัตนโกสินทร์ก็เปลี่ยนโครงสร้างการปกครองปาตานีโดยแบ่งเป็น 7 หัวเมืองที่เป็นอิสระต่อกัน ต่างมีเจ้าเมืองของตนเอง และทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสงขลา ยกเลิกระบบสุลต่าน และให้เจ้าเมืองมาจากการแต่งตั้งของศูนย์กลางอำนาจที่กรุงเทพฯ ทั้งหมด แต่หัวเมืองอิสระทั้ง 7 แห่งนี้ ยังคงมีอำนาจอิสระในการปกครองตนเองอยู่มาก ทั้งระเบียบการปกครอง ภาษามลายู ศาสนาอิสลาม การคลัง และการจัดเก็บภาษี

รูปภาพจาก https://deepsouthwatch.org/sites/default/files/blogs/attachment/27003_gilles_robert_de_vaugondy_1749.jpg เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565.

ระบบการปกครองแบบ 7 หัวเมืองมลายู ดำรงอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งรัตนโกสินทร์หรือสยามเดินเข้าสู่กระบวนการสร้างรัฐสมัยใหม่ ดังนั้น กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ยุคสมัยก่อนหน้าการเกิดรัฐสมัยใหม่ของสยาม ปาตานีมิใช่เมืองขึ้นของรัตนโกสินทร์หรือสยาม เฉกเช่นหัวเมืองอย่างสงขลา นครศรีธรรมราช เพราะมิได้อยู่ในระบบราชการของกรุงเทพฯ หากแต่มีสถานะเป็นเมืองประเทศราชที่คงอำนาจอิสระในการปกครองตนเองอยู่พอสมควร ความสัมพันธ์ของสยามกับปาตานีในยุครัฐจารีต จึงคล้ายกับความสัมพันธ์ของสยามกับจีนในยุคเดียวกัน ที่หากว่าการส่งเครื่องบรรณาการของสยามให้กับจีน มิได้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าสยามเป็นเมืองขึ้นของจีนฉันใด การส่งเครื่องบรรณาการของปาตานีให้กับสยาม ก็มิได้ทำให้ปาตานีมีสภาพเป็นเมืองขึ้นของสยามฉันนั้น

กระทั่งภายใต้กระบวนการสร้างรัฐสมัยใหม่ที่กล่าวถึงข้างต้น ซึ่งรัฐสมัยใหม่จำต้องมีองค์ประกอบของอาณาเขตที่แน่นอน ประชากรที่แน่ชัด มีรัฐบาล และอำนาจอธิปไตยสถิตอยู่ ณ ที่แห่งเดียว ปาตานีจึงถูกผนวกดินแดนเข้าเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนอาณาเขตของสยาม โดยกระบวนการ 2 กระบวนการ

หนึ่งคือ การปฏิรูประบบการปกครองที่กระชับอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง (centralization) ผ่านการใช้ระบบมณฑลเทศาภิบาล และการบังคับใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ.2440 ระเบียบการปกครองใหม่นี้ทำหน้าที่เปลี่ยนสถานะของปาตานีหรือ 7 หัวเมืองมลายูจากการเป็นเมืองประเทศราชไปสู่การเป็นจังหวัด 3 จังหวัดภายใต้การปกครองส่วนภูมิภาคของสยาม คือ ปัตตานี ยะลา และสายบุรี (นราธิวาส)[5]    

สองคือ การกำหนดเขตแดนระหว่างสยามกับอาณานิคมมลายาของอังกฤษ ผ่านสนธิสัญญาแองโกล-สยาม ค.ศ.1909 (Anglo-Siamese Treaty of 1909) ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นจุดอ้างอิงอีกแห่งหนึ่งของนักชาตินิยมมลายูปาตานี เพราะมีผลทำให้เกิดเส้นเขตแดนขีดแบ่ง 7 หัวเมืองมลายูหรืออาณาจักรปาตานีเดิมเอาไว้ในอาณาเขตของสยาม แต่รัฐมลายูอีก 11 รัฐที่เหลือกลับถูกแบ่งไว้ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ เหตุการณ์นี้จึงถูกนักชาตินิยมมลายูปาตานีมองว่า เปรียบได้กับการล่าอาณานิคมของสยามและดังนั้น การปลดแอกจึงเป็นสิทธิอันชอบธรรมของชนชาติ เพื่อกำหนดชะตาอนาคตของตนเอง (self-determination) ตามที่รับรองไว้ในหลักการของสหประชาชาติ

กล่าวได้ว่า กรณีการผนวกรวมปาตานี สยามประสบความสำเร็จในกระบวนการสร้างรัฐ แต่ไม่ประสบความสำเร็จในกระบวนการสร้างชาติ กล่าวคือ สยามเผชิญกับปัญหาและความยากลำบากเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันในการหลอมรวมผู้คนมลายูปาตานีเข้าไว้ในกรอบสำนึกความเป็นชาติไทยที่เป็นเนื้อเดียวกับสังคมใหญ่ กลับกัน ความพยายามของส่วนกลางในการยัดเยียดสำนึกใหม่ว่าด้วยความเป็นชาติเดียวกันกลับกลายเป็นปัจจัยนำไปสู่ความแปลกแยกและต่อต้านขัดขืนจากคนมลายูปาตานีมากขึ้นกว่าเดิม

ยุคสมัยที่ปัญหาเรื่องนี้รุนแรงอย่างมาก คือ ยุคของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ 1 จนถึงรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งนโยบายรัฐหลายนโยบายกลายเป็นปัจจัยผลักคนมลายู ทั้งชนชั้นนำและสามัญชนให้ลุกขึ้นต่อสู้เผชิญหน้า ที่สำคัญคือ นโยบายรัฐนิยมในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมมลายูปาตานีถึงในระดับของชีวิตประจำวันโดยถ้วนหน้า เช่น การห้ามใช้ภาษามลายูในโรงเรียนและการสื่อสารในสถานที่ราชการ การบังคับคนมลายูปาตานีให้เปลี่ยนชื่อเป็นไทย การยุบเลิกคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดต่างๆ การส่งเสริมการแต่งกายตามแบบตะวันตกที่รุนแรงไปจนถึงการจับกุมเติงกูปุตรา บินเติงกูอับดุลมุตตอเล็บ บุตรชายอดีตเจ้าเมืองสายบุรี ด้วยข้อหากระทำความผิดกฎหมายวัฒนธรรมเพราะนุ่งโสร่งและสวมหมวกกะปิเยาะฮฺไปละหมาด เป็นต้น การกดทับทางวัฒนธรรมเช่นนี้ส่งผลให้เกิดการต่อสู้ทั้งในกรอบของระบบรัฐสภาจาก ส.ส. ในพื้นที่อย่างนายอดุลย์ ณ สายบุรี การเสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการของหะยีสุหลง อับดุลกอเดร์ ไปจนถึงการก่อตั้งขบวนการกู้ชาติขึ้นอย่างจริงจัง โดยเติงกูมะห์มูด มะไฮยิดดีนเป็นผู้นำ ในชื่อว่า ขบวนการแห่งชาติมลายูปาตานี หรือ กัมปาร์ (Gabungan Melayu Patani Raja; GAMPAR)

รูปภาพ หะยีสุหลง อับดุลกอเดร์ จาก https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2019/03/IMG_8937-768×1216.jpg
เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565.

รอยต่อทางประวัติศาสตร์ช่วงนี้สะท้อนว่า นโยบายของรัฐเองเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่มเพาะความคิดในการลุกขึ้นต่อสู้ของคนมลายูปาตานี ทั้งในระบบ และนอกระบบการเมืองของรัฐ แต่ผลของการต่อสู้ในระบบและแบบสันติวิธีกลับยิ่งทำให้สถานการณ์ของพื้นที่เลวร้ายลงกว่าเดิม กรณี ส.ส.อดุลย์ ณ สายบุรี ถูกจับกุมในฐานความผิดกระทำการกบฏและถูกจำคุกอยู่ถึง 4 ปี เมื่อรัฐบาลถอนฟ้อง จนสุดท้ายต้องหนีไปกลันตันเข้าร่วมกับกลุ่มกัมปาร์ซึ่งสู้นอกระบบในที่สุด ส่วนกรณีหะยีสุหลง อับดุลกอเดร์ ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อประกอบกับเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกิดความอยุติธรรมต่อสามัญชนทั่วไปด้วยแล้ว เช่น กรณีเหตุการณ์ดุซงญอ พ.ศ.2491 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าปะทะกับชาวบ้านตำบลดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เพราะเข้าใจผิดว่า ชาวบ้านตระเตรียมก่อจลาจล ผลลัพธ์ที่ติดตามมาจากห้วงเวลาดังกล่าวที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธี ตามกฎหมาย และภายใต้ระบบการเมืองของรัฐกลับถูกตอบกลับด้วยความรุนแรง คือ การเกิดกลุ่มติดอาวุธขึ้นจำนวนมาก
ที่สำคัญคือ

ปีก่อตั้ง (พ.ศ.)กลุ่มติดอาวุธ
2502ขบวนการแนวร่วมปลดแอกแห่งชาติปาตานี (Barisan Nasional Pembebasan Patani; BNPP)
2503แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ (Barisan Revolusi Nasional; BRN)
2511องค์การปลดปล่อยสหปาตานี (Patani United Liberation Organisation; PULO)
2528แนวร่วมมุญาฮีดดินอิสลามปาตานี (Gerakan Mujahidin Islam Patani; GMIP)
2539ขบวนการแนวร่วมอิสลามเพื่อปลดปล่อยปาตานี (Barisan Islam Pembebasan Patani; BIPP)
2532ขบวนการเบอร์ซาตู (Barisan Bersatu Kemerdekaan Patani; BERSATU)
ไม่ปรากฏกลุ่มเยาวชนกู้ชาติปาตานี หรือเปอร์มูดอ (Kumpulan Pemuda Patani; KPP)

สำหรับกลุ่มที่มีบทบาทก่อเหตุรุนแรงสูงที่สุดในปัจจุบัน คือ BRN ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2503 ที่กลันตันโดยแกนนำสำคัญ 3 คน คือ หะยีอามีน โต๊ะมีนา (ผู้เป็นบุตรชายของหะยีสุหลง) หะยีอับดุลการีม บินฮัสซัน (โต๊ะอาเยาะการีม หรืออาบูคัสวัน) และนายวันอะหมัด รอฟี (อาหมัด บง) ต่อมา ได้จัดตั้งกองกำลังขึ้นเพื่อปฏิบัติงานในปีกการทหาร ชื่อว่ากองกำลังติดอาวุธปลดแอกอิสลามปาตานี (Angkatan Bersenjata Revolusi Islam Patani; ABRIP) ใน พ.ศ. 2511 ให้หลังจากนั้นคือ พ.ศ. 2518 กลุ่มได้ประชุมกันที่เมืองบาลิ่ง รัฐเปรัค จัดทำธรรมนูญของ BRN ขึ้นมีสาระสำคัญคือ

  • กำหนดอุดมการณ์นำของกลุ่มที่เรียกว่า “นาโซซี” (NASOCI) อันประกอบด้วย ชาตินิยม (NAtionalism) สังคมนิยม (SOcialism) และอิสลามนิยม (Islamism)
  • กำหนดสถานะการเป็นองค์กรปิดลับ เป็นหลักการพื้นฐานของการจัดโครงสร้างบังคับบัญชาจากบนลงล่าง ซึ่งทำให้สมาชิกแต่ละระดับส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าผู้ใดบ้างเป็นแนวร่วมเดียวกัน และกำหนดแนวทางการต่อสู้ที่ไม่เอื้อต่อการเปิดหน้าพูดคุย
  • กำหนดให้มีสภาองค์กรนำ (Dewan Pimpinan Pusat; DPP) เป็นกลไกบริหารสูงสุด มี

ต่อมาสมาชิกระดับนำได้ขัดแย้งกัน บางส่วนจัดตั้งคณะกรรมการประสานงาน (Majlis Kordinasi) ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาและแสวงจุดร่วมภายในกลุ่ม แต่สุดท้ายคณะกรรมการดังกล่าวก็กลับเป็นกลุ่มแยกออกมาในชื่อว่า BRN-Coordinate ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่มีบทบาทในความรุนแรงปาตานีในปัจจุบัน ต่อมาใน พ.ศ. 2527 BRN ได้จัดประชุมสมัชชาแห่งชาติ (Kongres Nasional) ขึ้น ผลคือ การจัดตั้งแกนนำชุดใหม่และเรียกชื่อกลุ่มของตนใหม่ว่า BRN-Congress ส่วนสมาชิกระดับนำที่ไม่มีตำแห่งในแกนนำชุดใหม่อย่างอุสตาซอับดุลการีมก็ได้รวบรวมสมาชิกบางส่วนแยกไปจัดตั้งกลุ่มใหม่อีกหนึ่งกลุ่มเรียกว่า BRN-Ulama   

หลายคนอาจเข้าใจว่าหน้าประวัติศาสตร์เหล่านี้ที่เชื่อมร้อยเข้ากับชาตินิยมมลายูปาตานีที่มีอัตลักษณ์ทางอิสลามเป็นปัจจัยสำคัญในการบ่มเพาะความคิดต่อต้านขัดขืนอำนาจรัฐ แต่ที่จริงแล้ว เหตุการณ์ร่วมสมัยที่ปรากฏขึ้นเป็นระยะอย่างมีเส้นเรื่องดุจเดิมสม่ำเสมอมากระทั่งปัจจุบันต่างหากที่เป็นสิ่งเร้าแรกให้ผู้คนรู้สึกโกรธแค้น เกลียดชัง และตั้งคำถามในความสัมพันธ์ของกลุ่มชนตนเองกับรัฐและสังคมไทย ประวัติศาสตร์ซึ่งดำเนินมาดังบรรยายข้างต้นจึงค่อยมามีอิทธิพลในขั้นตอนหลังนี้ ในการให้คำตอบ คำอธิบายที่สมเหตุสมผลว่าเพราะเหตุใด คนมลายูปาตานีจึงราวกับถูกกระทำอย่างอธรรมและกดขี่จากรัฐที่เป็นตัวแทนชนอีกชาติหนึ่ง

เหตุการณ์ร่วมสมัยที่กล่าวถึง เรียกอีกแบบได้ว่า “ประวัติศาสตร์ระยะใกล้” หมายถึงบรรดาเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน หรือเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน ทำให้เป็นประจักษ์พยานตัวเป็นๆ ในการบอกเล่าเรื่องราวความขมขื่นอย่างมีชีวิต พูดอย่างถึงที่สุดแล้วก็คือ ประวัติศาสตร์ระยะใกล้ หรือ เหตุการณ์ร่วมสมัยจำนวนมากเหล่านี้เองต่างหากที่ปลุกตื่นประวัติศาสตร์อันยาวไกลให้กลับมามีชีวิตอย่างจับต้องรู้สึกได้ชัดราวกับว่าเป็นเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่สะพานกอตอ ซึ่งสืบเนื่องด้วยเหตุการณ์ประท้วงใหญ่ที่ปัตตานี พ.ศ.2518 มาจนถึงเหตุการณ์ปะทะที่มัสยิดกรือเซะและเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ตากใบ พ.ศ.2547 การกราดยิงเข้าไปในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย กรณีอิมามยะผา กาเซ็ง   กรณีอับดุลเลาะ อีซอมูซอ การบังคับตรวจเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม (DNA) และอัตลักษณ์บุคคล จำนวนวิสามัญฆาตกรรมที่เรียกว่า การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม (extrajudicial killing) จำนวนมากในระยะไม่กี่ปีมานี้ รวมทั้งการอุ้มหายและข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการถูกทรมานและการถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมอีกหลายครั้ง ฯลฯ

การทำงานของประวัติศาสตร์ต่อความรุนแรงที่ปาตานี จึงมิได้อยู่ในสถานะของการฟื้นฝอยหาตะเข็บหรือการรื้อฟื้นความรุ่งเรืองในอดีตขึ้นมาอย่างคลั่งชาติและไร้สาระ หากแต่มีลักษณะของเส้นเรื่องอันต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันกาล ที่ตอกย้ำสถานะความสัมพันธ์ทางอำนาจไม่เท่าเทียมระหว่างชนชาติหนึ่งกับอีกชนชาติ ในแง่นี้ รากเหง้าของปัญหาความรุนแรงที่ปาตานี จึงเป็นปัญหาทางการเมืองอันว่าด้วยการจัดวางความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างส่วนกลางกับพื้นที่ นั่นเอง  


[1] “4 ม.ค. ปล้นปืนค่ายปิเหล็ง จุด “ไฟใต้” รอบใหม่,” บีบีซี, สืบค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2565,  https://www.bbc.com/thai/59799815.

[2] Mohd Zamberi A. Malek, Umat Islam Patani: Sejarah dan Politik (Shah Alam: HIZBI, 1993), 50, อ้างถึงใน, อารีฟิน บินจิ, อับดุลลอฮฺ ลออแมน, และซูฮัยมีย์ อิสมาแอล. ปาตานี: ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู, พิมพ์ครั้งที่ 3, 103.

[3] ชัยค์ ฟากิฮฺ อาลี, ประวัติศาสตร์ปาตานี, พิมพ์ครั้งที่ 2, 43.

[4] อิบรอฮีม ชุกรี ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี, 52.

[5] ฐนพงศ์ ลือขจรชัย, เสียดินแดนมลายู: ประวัติศาสตร์ชาติ ฉบับ Plot Twist (กรุงเทพฯ: มติชน, 2562), 146.

 1,433 ครั้ง

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ