ความเข้าใจเบื้องต้นต่อปัญหาความรุนแรงที่ปาตานี (จังหวัดชายแดนภาคใต้) – ตอนที่ 3

         

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมาเป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐบาลใหม่ได้จัดกระบวนการพูดคุยใหม่ขึ้นใน พ.ศ.2556 โดยเปลี่ยนมาให้มาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก จึงเรียกอีกชื่อว่า กระบวนการกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur Process) อันเป็นกระบวนการที่สร้างความแตกต่างไปจากขนบเดิมโดยสิ้นเชิง คือ ขยับจากการพูดคุยแบบปิดลับมาสู่การพูดคุยแบบเปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ตัวแทนของรัฐบาลคือ พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กับตัวแทน BRN คืออุสตาซฮัสซัน ตอยยิบ ร่วมลงนามในเอกสาร “ฉันทานุมัติทั่วไปเกี่ยวกับกระบวนการพูดคุยสันติภาพ” (the General Consensus on Peace Dialogue Process) เพื่อประกาศเจตจำนงค์ร่วมให้มีกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับบรรดาผู้มีความเห็นและอุดมการณ์แตกต่างไปจากรัฐ ในฐานะเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญไทย อย่างไรก็ตาม การให้ความเห็นชอบโดยสภาองค์กรนำของ BRN ต่อความเป็นตัวแทนของฮัสซัน ตอยยิบนั้น จำกัดอยู่ในบทบาทที่เรียกว่า “liaison” หรือผู้ประสานงานเท่านั้น กล่าวคือ การเข้าร่วมกระบวนการพูดคุยรอบกัวลาลัมเปอร์ของกลุ่ม BRN ช่วงนี้เป็นเสมือนการทดสอบความเชื่อมั่นไว้วางใจต่อทั้งรัฐบาลและกระบวนการ เท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ มิได้เป็นกระบวนการพูดคุยที่ BRN ประสงค์จะเข้าร่วมเพื่อวางอาวุธและตัดสินใจทางการเมืองร่วมกับรัฐบาล แต่เป็นขั้นตอนแรกสุดของกระบวนการก็คือ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน (confidence building)

การทดสอบกันและกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจถูกดำเนินการภายใต้กรอบที่เรียกว่า ข้อริเริ่มรอมฎอนสันติภาพ/สันติสุข (the Ramadan Peace Initiative) กรอบนี้ว่าด้วยการตกลงกันสองฝ่ายที่จะลดความรุนแรงและปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ปาตานีในห้วง 40 วันของเดือนรอมฎอน พ.ศ.2556 หรือกล่าวได้ว่าเป็นข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว นั่นเอง ในขั้นตอนการหารือจัดทำข้อริเริ่มนี้ร่วมกัน ตัวแทน BRN ได้เสนอเงื่อนไข (terms & conditions) 7 ประการสำหรับการจะหยุดยิง เช่น การที่รัฐบาลต้องถอนหน่วยความมั่นคงที่มิใช่กองกำลังประจำถิ่นออกจากพื้นที่ และต้องถอนกองกำลังออกจากการปฏิบัติการในกำปง (หมู่บ้าน) เป็นต้น แต่ข้อเสนอเหล่านี้ก็มิได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ในช่วงเดือนรอมฎอน กองกำลังความมั่นคงยังคงปฏิบัติการตามปกติโดยอ้างถึงความหวั่นเกรงว่า การตกลงหยุดปฏิบัติการทางทหารของทั้งสองฝ่ายจะเปิดพื้นที่ให้กลุ่ม BRN สามารถเคลื่อนไหวเชื่อมโยงจัดตั้งกลุ่มขึ้นใหม่ได้อันจะทำให้พวกเขามีความพร้อมก่อเหตุรุนแรงระยะต่อไป อีกทางหนึ่ง ก็ได้ปรากฏเหตุสังหารด้วยอาวุธปืนจำนวนหนึ่งในระยะสัปดาห์แรกของช่วงตกลงหยุดยิงชั่วคราว ซึ่งแม้รัฐบาลระบุการพิสูจน์ทราบว่ามาจากเหตุขัดแย้งส่วนตัว แต่คนในพื้นที่จำนวนมากเชื่อว่า เป็นการกระทำโดยกองกำลังทหารหรือผู้ที่ได้รับการหนุนหลังจากฝ่ายความมั่นคงสายเหยี่ยว ซึ่งเจาะจงวิสามัญฆาตกรรม หรือสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม (Extrajudicial Killing) ต่อเป้าหมายที่ต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่ม BRN และเพื่อบ่อนทำลายความชอบธรรมของกระบวนการพูดคุยสันติภาพ ซึ่งฝ่ายรัฐสายเหยี่ยวเหล่านี้ไม่เห็นด้วย 

ข้อนี้สะท้อนอีกครั้งว่า การขาดเอกภาพภายในแต่ละฝ่ายของคู่พูดคุย โดยเฉพาะรัฐบาล ระหว่างระดับนโยบายกับระดับปฏิบัติเป็นปัจจัยขัดขวางสำคัญต่อกระบวนการสันติภาพ ปรากฏการณ์ดังที่ยกมานี้จึงถูกตอบสนองเชิงลบจากนักรบของกลุ่ม BRN ในพื้นที่ที่กลับมาก่อเหตุรุนแรง กระทั่งสถิติการเกิดเหตุในช่วง 10 วันสุดท้ายของรอมฎอน พ.ศ.2556 ที่สองฝ่ายมีข้อตกลงหยุดยิงร่วมกันสูงขึ้นในระดับที่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับช่วง 10 วันเดียวกันใน พ.ศ.2555 ที่ไม่มีข้อตกลงหยุดยิง ขณะที่การเคลื่อนไหวที่นอกเหนือจากการก่อเหตุรุนแรงก็ปรากฏในจำนวนมากในรูปของการแสดงป้ายผ้า และการพ่นข้อความบนและสัญลักษณ์บนท้องถนนในสถานที่ต่างๆ จำนวนกว่า 38 แห่ง กระจายในจังหวัดนราธิวาส เรียกร้องขับไล่ให้ทหารและตำรวจออกไปจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เหล่านี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ระบุว่า ข้อริเริ่มรอมฎอนสันติสุขประสบกับความล้มเหลว   

นอกจากนี้ เดือนกันยายน พ.ศ.2556 มาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกได้จัดส่งเอกสารข้อเรียกร้อง 5 ประการของกลุ่ม BRN ซึ่งเป็นเอกสารภาษาอังกฤษความยาว 38 หน้า ให้กับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และเผยแพร่ต้นฉบับเป็นคลิปอธิบายภาษามลายูผ่านทาง YouTube สาระสำคัญของข้อเรียกร้อง 5 คือ

  • การเจรจาครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแทนนักต่อสู้ปาตานีนำโดยแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) กับรัฐบาลไทย
  • แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) เห็นด้วยที่แต่งตั้งรัฐบาลมาเลเซียเป็นคนกลางผู้ไกล่เกลี่ย ซึ่งมีส่วนรวมโดยตรงในการเจรจา
  • ตลอดช่วงการเจรจาต้องมีตัวแทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน องค์กรโอไอซี และองค์กรเอ็นจีโอต่างๆ เป็นพยาน
  • รัฐบาลไทยจำเป็นต้องยอมรับว่าชาว (เชื้อสาย) มลายูปาตานีมีสิทธิความเป็นเจ้าของต่อดินแดน
    ปาตานี และ
  • ฝ่ายแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยผู้ที่ถูกควบคุมตัว (นักโทษทางการเมือง/ผู้ต้องสงสัย) เนื่องจากคดีความมั่นคงทุกคน และยกเลิกหมายจับที่ออกสำหรับนักต่อสู้ปาตานีทุกคน โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ (สำนวนการแปล อ.ฮารา ชินทาโร)

ในขณะที่ข้อริเริ่มรอมฎอนสันติสุขเป็นเสมือนบททดสอบความเชื่อมั่นไว้วางใจกันทางการทหาร ข้อเรียกร้อง 5 ประการดังกล่าวสำหรับ BRN ก็ถือเป็นเสมือนบททดสอบความเชื่อมั่นไว้วางใจในทางการเมือง ซึ่งการจะเดินหน้ากระบวนการพูดคุยในเรื่องอื่นๆ อย่างลงลึกต่อไปนั้น จำต้องเกิดจากขั้นตอนเบื้องต้น คือ การยอมรับที่จะพูดคุยถกแถลงกันใน 5 ข้อดังกล่าวนี้ร่วมกันเสียก่อน นัยสำคัญของประเด็นนี้มี 2 ส่วน ส่วนแรกคือ หากการถกเถียงกันใน 5 ข้อนี้ไม่เกิดขึ้นและรัฐบาลไม่สามารถให้คำตอบใน 5 เรื่องนี้ได้ BRN ก็จะไม่ร่วมเดินหน้ากระบวนการพูดคุยสันติภาพด้วยกันต่อไป กับส่วนที่สองคือ BRN ตระหนักดีว่า กระบวนการที่ตนเข้าร่วมนั้นคือ “การพูดคุย” (dialogue) มิใช่ “การเจรจา” (negotiation) ดังนั้น ข้อเรียกร้อง 5 ข้อ จึงมิได้ถูกเสนอเพื่อใช้ต่อรองและต้องได้มา แต่ถูกใช้เป็นเครื่องทดสอบการรับประกันความจริงใจจากรัฐบาลไทย การยอมรับที่จะพูดคุยกันและมีคำตอบจากมุมของรัฐต่อเรื่องราวทั้ง 5 ประการนี้ จึงอาจเป็นสิ่งเพียงพอแล้วต่อการจะเดินหน้าทำงานร่วมกันต่อไปในการหาทางออกให้กับปัญหา กระนั้น การตอบสนองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่อข้อเรียกร้องชุดนี้เป็นไปอย่างล่าช้า โดยยืนยันมุมมองว่า เรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องพูดคุยกันในขั้นตอนภายหลังจากระดับความไว้วางใจต่อกันมากขึ้นเพียงพอเสียก่อน พร้อมกันนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองระดับชาติโดยมีการชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระบวนการพูดคุยชะงักงัน กระทั่งเดือนธันวาคม พ.ศ.2556 อุสตาซฮัสซัน ตอยยิบ ตัวแทน BRN ซึ่งสถานะที่จริงแล้วคือ ผู้ประสานงานในกระบวนการพูดคุยได้ออกแถลงการณ์ผ่านคลิปวิดีโอใน YouTube ความยาว 90 วินาที ระบุชัดว่าตนเป็น “อดีต” ตัวแทนของกลุ่ม BRN ในการพูดคุย และประกาศว่า BRN จะฟื้นกระบวนการพูดคุยอีกครั้งก็เมื่อรัฐสภาของไทยให้การรับรองข้อเรียกร้อง 5 ประการที่ได้เสนอไปแล้ว และนายกรัฐมนตรีของไทยในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารประกาศให้กระบวนการพูดคุยสันติภาพเป็นวาระแห่งชาติ เท่านั้น ฮัสซัน ตอยยิบ กล่าวส่งท้ายคลิปแถลงการณ์ด้วยการเปล่งเสียง “Merdeka” หรือแปลว่า อิสรภาพ (Independence) สามครั้ง อันเป็นสิ่งสะท้อนถึงการสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการของ “Dialogue I” หรือกระบวนการกัวลาลัมเปอร์ ทำให้กล่าวได้ว่า กระบวนการพูดคุยรอบนี้สิ้นสุดลงก่อนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะถูกรัฐประหาร             

ภายหลังรัฐประหาร พ.ศ.2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พยายามขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยสันติภาพต่อในรูปแบบที่ยังคงมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกดังเดิม โดยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ สมัยที่ 1 ได้มอบพลเอกอักษรา เกิดผล เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาล เรียกว่า คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนอีกทางหนึ่ง นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ฯ ก็ประชุมกับนาจิ๊บ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียขณะนั้น เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2557 ที่กัวลาลัมเปอร์ นำมาซึ่งข้อตกลงเกี่ยวกับหลักการดำเนินกระบวนการพูดคุยสันติภาพรอบใหม่ โดยสาระสำคัญประการหนึ่ง คือ การเปลี่ยนแปลงกลุ่มเป้าหมายการพูดคุย ที่เดิมพูดคุยกับกลุ่มเดียว คือ BRN ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฯ มาสู่การยึดหลักการสร้างกระบวนการพูดคุยที่ผนวกรวมกลุ่มติดอาวุธทุกกลุ่ม  ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ฯ ได้สานต่อการพูดคุยในกรอบของกระบวนการกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งริเริ่มขึ้นในสมัยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฯ แต่มีการเปลี่ยนหลักการ กลุ่มเป้าหมาย คณะบุคคลที่รับผิดชอบ และรายละเอียดการดำเนินงานต่างๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีการเรียกกระบวนการพูดคุยสันติภาพสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฯ อีกชื่อหนึ่งว่า Dialogue I และเรียกกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่สานต่อจากโครงสร้างเดิมอีกชื่อหนึ่งว่า Dialogue II เพราะเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน

กระทั่งกลางเดือนมีนาคม พ.ศ.2558 ตัวแทนกลุ่ม BRN BIPP PULO-P4 PULO-DSPP PULO-MKP และ GMIP รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรร่ม (umbrella organization) ในชื่อ มัจลิส ชูรอ ปาตานี (the Majilis Syura Patani; the Patani Consultative Council) หรือที่เรียกโดยย่อว่า มาราปาตานี (MARA Patani) โดยมีอาวัง ยาบะ ตัวแทนจากกลุ่ม BRN เป็นประธานองค์กรร่ม ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการเข้าร่วมกระบวนการพูดคุยสันติภาพตามหลักการ Dialogue II ดังย่อหน้าข้างต้นซึ่งระบุให้กลุ่มติดอาวุธที่หลากหลายรวมเป็นหนึ่งกลุ่มเพื่อรวมข้อเรียกร้องเป็นชุดเดียวกันในการเข้าสู่การพูดคุยสันติภาพ โดยในวงพูดคุยสันติภาพกำหนดให้ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลเป็น “Party A” และตัวแทนกลุ่มติดอาวุธเป็น “Party B” ซึ่งรัฐบาลเลี่ยงที่จะใช้คำว่า “กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ” แทน

ในบรรดากลุ่มที่รวมกันในองค์กรร่มมาราปาตานี กลุ่ม BRN เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและปฏิบัติการจริงในการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่มากที่สุด แต่กระนั้น การเห็นชอบอย่างมีฉันทามติของ BRN ในการมอบอาวัง ยาบะ เป็นตัวแทนกลุ่มอยู่ในมาราปาตานีก็เป็นประเด็นที่น่ากังขา แม้สมาชิก BRN สายพิราบที่เห็นด้วยกับการพูดคุยสันติภาพว่าเป็นทางออกของความขัดแย้งดูจะสนับสนุนเขา แต่ BRN สายเหยี่ยวที่เชื่อในการต่อสู้ทางการทหารดูจะไม่สนับสนุนแนวทางการพูดคุยสันติภาพนัก ซึ่งการก่อเหตุระเบิดที่ยะลา รวมทั้งเกาะสมุย ซึ่งอยู่นอกพื้นที่ปฏิบัติการปกติ เป็นสัญญาณต่อความน่ากังขาดังกล่าวเป็นอย่างดี อีกทั้งข่าวลือที่กว้างขวางเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันตึงเครียดของอาวัง ยาบะกับกลุ่มคนวงในสภาองค์กรนำของ BRN ยิ่งทำให้ความน่ากังขานี้สมจริงขึ้น อันเป็นผลสำคัญมาจากการที่รัฐบาลยังไม่สามารถตอบสนองเชิงหลักการต่อการจะพูดคุยเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง 5 ประการ ซึ่ง BRN เคยเสนอไว้ในกระบวนการ Dialogue I และการเข้าร่วมของอาวัง ยาบะสำหรับสมาชิกระดับสูงของ BRN บางคนมองว่าเป็นการละเมิดหลักการปิดลับ (code of secrecy) ของกลุ่ม ขณะที่ในอีกด้าน สำหรับฝั่งรัฐบาลก็เป็นที่กังขาเกี่ยวกับเจตนาและจุดยืนในการเข้าร่วมกระบวนการพูดคุยสันติภาพเช่นกัน เพราะการแสดงออกของรัฐบาลที่เน้นหลักการชาตินิยมไทยและความเป็นเอกภาพ บูรณภาพของประเทศ ทั้งรัฐบาลยังกำหนดนำคำว่า “สันติสุข” เข้าแทนที่คำว่า “สันติภาพ” โดยเรียกว่า กระบวนการพูดคุยสันติสุข เพื่อจะลดระดับของประเด็นการดำเนินงานเรื่องนี้ลงเหลือเพียงการจัดการความขัดแย้งภายในประเทศเพื่อความสุขและชีวิตที่ดีของผู้คนในพื้นที่ ส่งผลเชิงสัญญะในการลดทอนสภาพปัญหาลง กระทั่งเพดานของการพูดคุยหารือ ถกเถียงกันในกระบวนการเป็นไปได้อย่างจำกัด 

 2,815 ครั้ง

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ